[AutoFun] ถุงลมนิรภัย (Supplementary Restraint System; SRS) เป็นอุปกรณ์เสริมความปลอดภัย ทำด้วยความยืดหยุ่นที่ออกแบบมาเพื่อการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงการชนกันของรถยนต์ เพื่อลดแรงกระแทกภายใน ทำให้ลดการบาดเจ็บทั้งบริเวณศีรษะและลำตัวของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งการป้องกันจะได้ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อใช้ควบคู่กับเข็มขัดนิรภัย
ถุงลมนิรภัยเป็นหนึ่งในระบบความปลอดภัยเชิงปกป้องสำหรับรถยนต์ ที่รถยนต์ที่จำเป้นต้องมี
ถุงลมนิรภัยบริเวณเบาะคู่หน้า เป็นระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันที่ออกแบบเพื่อปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า โดยจะติดตั้งที่พวงมาลัยกับช่องเก็บของด้านหน้า
หลักการทำงานของถุงลมนิรภัย
หลักการทำงานของถุงลมนิรภัยเป็นหลักการเดียวกับระเบิด โดยถุงลมนิรภัยจะมีชุดจุดระเบิด เมื่อเกิดการชนสปริงก็จะดันให้เข็มพุ่งไปกดปุ่มระเบิดจากนั้น ก็จะส่งข้อมูลไปยังกล่องควบคุม (ECU) เกิดการสั่งงานของเซ็นเซอร์ที่อยู่หน้ารถ ทำให้ถุงลมนิรภัยขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยสารเคมีที่ใช้ในถุงลมนิรภัยเป็นก๊าซไนโตรเจน ที่เกิดจากการระเบิดของโซเดียมเอไซต์ (NaN3) หรือแอมโมเนียมไนเตรต (NH4NO3) ทำให้สารเคมีเหล่านี้สร้างก๊าซไนโตรเจนขึ้นมา และเติมให้ถุงลมนิรภัยทั้งหมดพองออก
ในอดีตส่วนใหญ่อุบัติการชนเกิดไม่ร้ายแรง แต่ถุงลมนิรภัยกลับทำงานเต็มที่ และมีแรงในการขยายตัวมาก ซึ่งทำให้เป็นข้อถกเถียงกันว่าเมื่อถุงลมนิรภัยทำงานทั้งที่ชนไม่มาก จะทำให้ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารบาดเจ็บไหม จึงทำให้มีการวิจัยต่อเนื่อง จนกระทั่งได้มีการวิจัยใช้กระบวนการเกิด Secondary gas แทน ซึ่งต่อมาในปี 1999 BMW ก็ได้นำถุงลมนิรภัยที่ใช้วิธีนี้มาใส่ใน BMW 5 Series และกลายเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
โดยกระบวนการคล้ายกับเครื่องยนต์จรวดเชื้อเพลิงเหลวขนาดเล็กที่เรียกว่าทรัสเตอร์ ที่เมื่อจรวดขึ้นสู้ท้องฟ้าแล้ว ในกรณีที่มีการชนค่อนข้างต่ำ ตัวจุดระเบิดก๊าซแรกเท่านั้นที่จะจุดชนวนทำให้ถุงลมนิรภัยนุ่มกว่า และรองรับการบาดเจ็บได้โดยไม่ทำให้บาดเจ็บเพิ่ม แต่หากเกิดการชนอย่างรุนแรงขึ้น ตัวจุดระเบิดก๊าซที่ 2 ก็จะทำงาน โดยขั้นตอนที่ 2 นี้จะยังไม่ได้ทำงานพร้อมกับตัวจุดระเบิดตัวแรก โดยจะมีการควบคุมเวลาประมาณ 10 มิลลิวินาทีและมากกว่า 100 มิลลิวินาทีขึ้นอยู่กับระดับของการชนตัวจุดระเบิดที่ 2 ถึงจะทำงาน
แม้ว่าระยะเวลาของการควบคุมถุงลมนิรภัยจะเหมาะสม แต่ในกรณีที่เกิดการชน ถุงลมนิรภัยเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถลดการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุที่รนแรงมากถุงลมนิรภัยอาจทำให้ผู้นั่งในรถได้รับบาดเจ็บสาหัสมากขึ้นเนื่องจากไม่มีตัวดึงรั้งทำให้เกิดการกระแทก ดังนั้นระบบป้องกันความปลอดภัยจะทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อใช้คู่กับเข็มขัดนิรภัย เพราะเข็มขัดนิรภัยจะช่วยดึงรั้งไม่ให้คนขับหรือผู้โดยสารพุ่งไปข้างหน้า
การพัฒนาถุงลมนิรภัย
ในปี 1952 จากอุบัติเหตุจราจรทำให้ John W. Hetrick วิศวกรชาวอเมริกันเริ่มศึกษาถุงลมนิรภัย โดยทำสำเร็จเมื่อ 18 สิงหาคม 1953 ได้จดสิทธิบัตรเป็น Supplementary Restraint System (SRS) หรือถุงลมนิรภัยที่เรารู้จักกัน
ต่อมาในปี 1964 วิศวกรยานยนต์ชาวญี่ปุ่น Yasuzaburou Kobori ได้เริ่มพัฒนาระบบ "ตาข่ายนิรภัย" และการออกแบบถุงลมนิรภัยของเขาใช้วัตถุระเบิดเพื่อขยายถุงลมนิรภัย
ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เจนเนอรัลมอเตอร์ (General Motors) ได้เริ่มมีการติดตั้งถุงลมนิรภัย
ในเดือนธันวาคม 1980 Mercedes-Benz ได้จำหน่าย Mercedes-Benz S series รถยนต์คันแรกที่ติดตั้งถุงลมนิรภัย ที่ผลิตเพื่อจำหน่ายอย่างเป็นทางการในยุโรปเมื่อปี 1988 ต่อมา Chrysler ได้เริ่มติดตั้งถุงลมนิรภัยเสริมในทุกรุ่นและสร้างโฆษณาทางโทรทัศน์รายใหญ่เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของอุปกรณ์เสริม และต่อมาถุงลมนิรภัยก็กลายเป็นระบบค่ายรถในอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างต้องมี
ข้อควรระวังในการใช้งาน
1. ต้องใช้ถุงลมนิรภัยร่วมกับเข็มขัดนิรภัย เพื่อให้ลดการบาดเจ็บจากการชน
2. รักษาระยะห่างจากถุงลมนิรภัยให้เหมาะสมขณะขับขี่
3. อย่าวางสิ่งของไว้ด้านหน้าด้านบนหรือใกล้ถุงลมนิรภัย เพราะวัตถุเหล่านี้อาจขวางไม่ให้ถุงลมนิรภัยพองตัว หรืออาจทำให้วัตถุนั้นถูกโยนออกเมื่อเกิดการชน ทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
4. ห้ามเปลี่ยนระบบถุงลมนิรภัยและโครงร่างโดยรอบโดยไม่ได้รับอนุญาต ห้ามเปลี่ยนวงจรและส่วนประกอบของระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ห้ามเปลี่ยนกันชนและโครงสร้างด้านหน้าของรถโดยไม่ได้รับอนุญาต
5. ถุงลมนิรภัยเป็นผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว และต้องส่งคืนโรงงานเพื่อรับถุงลมนิรภัยใหม่หลังจากขยายตัว
6. ไม่ควรให้เด็กนั่งเบาะหน้าหรือวางเบาะนั่งด้านหน้า เนื่องจากในตำแหน่งผู้โดยสารด้านหน้ามีถุงลมนิรภัยอยู่ เนื่องจากถุงลมนิรภัยจะทำให้เกิดอันตรายอย่างมากกับเด็กเมื่อเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว