[AutoFun] ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติในเครื่องยนต์สันดาปเป็นเทคโนโลยีเพื่อช่วยประหยัดเชื้อเพลิงที่จะต้องใช้เดินรอบเบาขณะที่รถไม่ได้เคลื่อนตัว และช่วยลดการปล่อยมลพิษ
การสตาร์ทและดับเครื่องยนต์: เมื่อรถอยู่ในสถานะหยุดนิ่ง (ไม่อยู่ในสถานะจอด) เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน (ไม่มีการเดินรอบเบา) ขณะที่น้ำมันหล่อลื่นยังคงหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ เมื่อปล่อยเบรกหรือคลัทช์เครื่องยนต์ก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง และการที่ยังมีน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์นี้ทำให้เครื่องยนต์ไม่มีปัญหาแม้จะดับและสตาร์ทหลายครั้ง
เทคโนโลยีสตาร์ทและหยุดอัตโนมัติกำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรก หลังผ่านไป 2 วินาทีเครื่องยนต์จะดับอัตโนมัติ และเมื่อจะให้เครื่องยนต์ทำงานอีกครั้งก็ให้ปล่อยเบรก เหยียบคันเร่ง หรือหมุนพวงมาลัย เครื่องยนต์จะสตาร์ทอีกครั้ง ซึ่งเทคโนโลยีช่วยลดการปล่อยมลพิษและลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันขณะรอไฟแดง
เมื่อรถหยุดนิ่ง แบตเตอรี่ AGM ในรถยนต์จะเป็นตัวจ่ายพลังงานแทน และระบบปรับอากาศจะใช้พัดลมแอร์ทำงานแทน หากมีการหยุดนานเกินไปก็ย่อมส่งผลต่อภายในตัวรถทำให้ร้อนได้ ซึ่งเราสามารถกดยกเลิกระบบสตาร์-ดับอัตโนมัติเองได้
รูปแบบของระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ
1. สตาร์ทเตอร์กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำงานแยกกัน
นี่เป็นระบบสตาร์ท - ดับอัตโนมัติที่พบบ่อยที่สุด สตาร์ทเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีการออกแบบแยกกัน สตาร์ทเตอร์ส่งพลังงานไปให้สตาร์ทเครื่องยนต์ ขณะที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าส่งพลังงานไปยังสตาร์ทเตอร์ โดยบริษัท Bosch เป็นซัพพลายเออร์หลักของระบบสตาร์ทและดับในรูปแบบนี้ ซึ่งระบบนี้มีการใช้ชิ้นส่วนค่อนข้างน้อย ติดตั้งง่าย ชิ้นส่วนใส่ได้พอดีกับชิ้นส่วนเดิมในรถ และเข้ากับแอปพลิเคชั่นได้ง่าย
2. ระบบสตาร์ทเตอร์กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเชื่อมกัน
มอเตอร์แม่เหล็กถาวรในโรเตอร์และขดลวดสเตเตอร์จะไปกระตุ้นมอเตอร์ซิงโครนัส จากนั้นก็จะส่งพลังงานไปยังระบบส่งกำลังไฮบริด โดยบริษัท Valeo ทำหน้าที่รวมอุปกรณ์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ของระบบ i-Start เข้ากับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เมื่อรถหยุดติดไฟแดง เครื่องยนต์จะหยุดอัตโนมัติ และเมื่อเข้าเกียร์หรือปล่อยแป้นเบรก เครื่องยนต์ก็จะกลับมาทำงานปกติ
3. ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัจฉริยะ Mazda i-stop
ระบบ i-Stop ซึ่งเป็นระบบสตาร์ทระบบแรกของ โดยระบบของ Mazda จะมีการวางลูกสูบให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดเพื่อจะได้สตาร์ทเครื่องยนต์ได้เร็ว ซึ่งต้องเป็นช่วงที่อากาศและเชื้อเพิลงที่อยู่ในกระบอกสูบพร้อมจะเผาไหม้ เมื่อลูกสูบมีการเคลื่อนที่ลงหัวเทียนก็จะทำให้งาน ทำให้เกิดการสตาร์ทอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้การสตาร์ทเครื่องยนต์ใช้เวลาเพียง 0.35 วินาที เรียกได้ว่าเกือบจะทันที
เทคโนโลยีสตาร์ทและดับเครื่องยนต์แบบเดิมจะอาศัยสตาร์ทเตอร์เพื่อส่งกำลังให้เครื่องยนต์ใสตาร์ท ในขณะที่เทคโนโลยี i-stop ใช้การเผาไหม้อากาศกับเชื้อเพลิงเพื่อดันลูกสูบ และให้สตาร์ทเตอร์ทำงานพร้อมกันเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้สตาร์ทเตอร์ทำงานอย่างเดียว
4. ระบบสตาร์และหยุดอัตโนมัติแบบไถล
ระบบสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติในปัจจุบันเครื่องยนต์จะดับก็ต่อเมื่อรถหยุดสนิทเท่านั้น ในขณะที่ ระบบสตาร์และหยุดอัตโนมัติแบบไถล (coasting start-stop system) สามารถดับเครื่องยนต์ได้ในขณะที่รถไถล (เช่นลงเขาด้วยความเร็วสูง) ในขณะเดียวกันก็จะใช้ระบบควบคุมคลัตช์อัตโนมัติในระบบเกียร์อัตโนมัติแยกเครื่องยนต์ออกจากระบบส่งกำลังเพื่อให้สามารถไถลต่อ และเมื่อผู้ขับขี่เหยียบคันเร่งหรือแป้นเบรกในระหว่างการขับขี่ เครื่องยนต์จะสตาร์ทอย่างรวดเร็ว