Mercedes-Benz E-Class Coupe

THB 4,550,000
Executive เกรด
Coupe ตัวถัง
AT รูปแบบเกียร์
2.0L ปริมาตรกระบอกสูบ
เช็คสเปค

รุ่นย่อยและราคา Mercedes-Benz E-Class Coupe

ขายรถเก่า-ซื้อคันใหม่ ไม่ยุ่งยาก ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ผู้ใช้ แลกรถในฝันแล้ว
เพิ่มรถของคุณ

แลก

2021 Mercedes-Benz E-Class Coupe E 200 AMG Dynamic

วีดีโอสั้นที่เกี่ยวข้อง

Mercedes-Benz E-Class Coupe 2024 มีรูปภาพและรูปถ่ายทั้งหมด 14 รูป รวมรูปภาพ & รูปถ่ายภายใน 1 รูป รูปภาพ & รูปถ่ายภายนอก 13 รูป รูปเครื่องยนต์และทอื่นๆ 0 รูป ชมมุมมองด้านหน้า มุมมองด้านหลัง ด้านข้างและมุมมองด้านบนของ Mercedes-Benz E-Class Coupe 2024 รุ่นใหม่ได้ที่นี่.

รีวิว Mercedes-Benz E-Class Coupe

ภาพรวม

2021 Mercedes-Benz E-Class Coupe’

Mercedes-Benz (เมอร์ซีเดส-เบนซ์) ใช้ชื่อ E-Class อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1993 โดยก่อนหน้านี้มักจะห้อยคำว่า E ไว้ด้านท้ายชื่อรุ่นมากกว่าหรือเน้นเรียกเป็นรหัสตัวถังแทน โดย E-Class ออกแบบมาให้เป็นรถยนต์นั่งขนาดกลาง สำหรับตัวถัง 2 ประตูถ้านับตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมาจะมี E-Class Coupe’ ใน E-Class เจนเนอเรชั่นแรก ก่อนที่เจนเนอเรชั่นที่สองกับสามจะถูกแยกรุ่นไปใช้ชื่อว่า CLK-Class ก่อนที่จะกลับมาใช้ชื่อว่า E-Class Coupe อีกครั้งในเจนเนอเรชั่นที่ 4 และเจนเนอเรชั่นที่ 5 ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นล่าสุดในปัจจุบัน โดยรหัสตัวถังของรุ่นคูเป้ในเจนปัจจุบันคือรหัส C238 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในโลกปลายปี 2016 ซึ่งมากับบอดี้ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเจนเนอเรชั่นที่แล้วเล็กน้อยแต่ดีไซ์โดยรวมคือหรูหราขึ้นชัดเจนเหมือนนำดีไซน์ของ S-Class Coupe’ มาปรับใช้ได้อย่างลงตัว 

สำหรับประเทศไทยได้มีการนำเข้ามาจำหน่ายในตอนแรกได้แก่รุ่น E300 AMG ในเดือนมีนาคมปี 2017 ในราคา 4.54 ล้านบาท อีกหนึ่งปีให้หลังได้ทำตลาดในรุ่น E200 AMG แทนโดยราคาถูกลง 150,000 บาท แต่แรงม้าก็หายไปด้วย และถัดมาอีกหนึ่งปีในปี 2019 เมอร์ซีเดส-เบนซ์ก็ได้นำเข้าตัวแรง AMG E53 4MATIC+ ในราคา 6.99 ล้านบาท หลังจากนั้นเดือนพฤษภาคม 2020 ตลาดโลกก็ได้มีการปรับปรุงโฉมของเจ้า E-Class Coupe ขึ้นมาโดยเป็นการเปลี่ยนดีไซน์ไฟหน้าและสเกิร์ตเล็กน้อยแต่ไฟท้ายยังเหมือนเดิม ซึ่งทางเบนซ์ประเทศไทยก็ได้นำเอา E200 AMG ตัวปรับโฉมแล้วเข้ามาเปิดตัวครั้งแรกในงาน Bangkok Motor Show 2021 ในราคา 4.55 ล้านบาท พร้อมออฟชั่นแน่นเอี๊ยด ทำให้ในปัจจุบันมี E-Class Coupe ทั้ง 2 โฉมจำหน่ายพร้อมกันในไทยโดยโฉมเดิมจำหน่ายในรหัสตัวแรง E53 และโฉมปรับปรุงใหม่ในรหัส E200

ภาพภายนอก

Mercedes-Benz E-Class Coupe’ ตัวรถถูกดีไซน์ให้เน้นความเป็นรถ GT Coupe มากขึ้น ด้านหน้าให้ความรู้สึกว่ารถกว้างด้วยกระจังหน้าที่ออกแบบให้แผ่กว้างไปตามแนวนอน มีสัญลักษณ์ตราดาวขนาดใหญ่แปะบนกระจัง สำหรับรุ่น E53 จะมีเส้นคาดกระจังขนาดใหญ่ สีดำตัดกรอบเงินพร้อมโลโก้ AMG อยู่ในแนวเส้นด้านขวา ส่วนรุ่น E200 จะเป็นเส้นสีเงินบางๆเส้นเดียวคาดโลโก้ กระจังหน้าในรุ่นกรอบปรับโฉมจะมีลักษณะเหมือนปากตอนยิ้ม ขณะที่รุ่นปรับโฉมแล้วจะมีลักษณะที่กลับด้านกันทำให้ดูเหมือนปากคว่ำดูเหมือนโกรธอยู่ กระจังหน้ารุ่น E200 จะได้เป็นแบบ Diamond Grille ที่มีการตกแต่งด้วยจุดสีเงินทั่วทั้งกระจังในขณะที่รุ่น E53 จะได้กระจังตาข่ายสีดำเข้มๆ ช่องดักลมด้านล่างของทั้ง 2 รุ่นใช้ดีไซน์ร่วมกัน โดยมีช่องดักลมด้านข้างซ้ายขวาที่ใหญ่ และช่องดักลมตรงกลางที่กว้างแต่เตี้ยลงหน่อยเพื่อให้มีที่ไว้ติดกรอบป้ายทะเบียน โดยช่องดักลมถูกตกแต่งด้วยกรอบทริมสีดำ และมีครีบสีดำ 2 ครีบตัดบริเวณกลางช่องดะกลมซ้ายขวา ส่วนที่แตกต่างกันจริงๆของทั้ง 2 โฉมคือโคมไฟหน้า สำหรับรุ่น E53 ที่เป็นโฉมเดิมจะได้ไฟเดย์ไลท์แบบ LED 2 เส้น ลากจากมุมโคมด้านบนฝั่งนอกตัวรถมาพาดกลางโคมด้านล่างผ่านโคมลูกแก้ว Multibeam LED ตรงกลางโดยลักษณะโคมจะโค้งรับกับกระจังหน้า ขณะที่รุ่นปรับโฉมแล้วจะมีการเปลี่ยนรูปทรงโคม มีความคล้ายทรงหยดน้ำมากขึ้น ไฟเดย์ไลท์เป็นแบบเส้นเดียวลากยาวจากด้านบนก่อนมาหักศอกลงบริเวณช่วงโคมด้านในที่รับกับกระจัง ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ใช้ร่วมกันกับพวกเบนซ์ยุคใหม่เช่น A-Class เป็นต้น 

ด้านข้างตัวรถแทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างสองรุ่น กระจกมองข้างสีดำและกรอบกระจกห้องโดยสารตัดขอบด้วยสีดำเหมือนกัน แนวหลังคาลาดบริเวณหลังเสา B อันบางเฉียบไปจรดฝากระโปรงหลังได้อย่างสวยงาม เสา C ทรงเฉียงทำให้มีพื้นที่กระจกโอเปร่าสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง (ถ้ามีคนอยากนั่งหลังนะ) สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง 2 รุ่นคือล้ออัลลอยโดยในรุ่น E200 จะได้ล้อซี่ลาย AMG 10 ก้านปัดเงาขนาด 19 นิ้ว ที่ดูหรูหราสงยงาม ในขณะที่รุ่น E53 จะได้ล้อลาย 5 ก้านคู่สีทูโทนเงินตัดดำจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว ที่ดูสปอร์ตกว่า พร้อมมีโลโก้ TURBO 4MATIC+ แปะอยู่บริเวณเหนือหลังซุ้มล้อหน้า สำหรับด้านท้ายดีไซน์ไฟท้ายของทั้ง 2 โฉมยังคงเหมือนกันโดยเป็นไฟท้ายแนวเรียวยาว มีเม็ด LED เรียงเป็นแถบดูสวยงาม พร้อมไฟเลี้ยวและไฟถอยแบบเส้นบริเวณด้านบนสุดของโคม ถัดลงมาจะมีช่องลม(หลอก) บริเวณด้านซ้ายและขวาของรถหลังซุ้มล้อหลังที่โป่งออกมานิดหน่อย ให้รถดูสปอร์ตและดูกว้าง 

สำหรับรายละเอียดที่ต่างกันของ 2 รุ่นอยู่บริเวณชายล่างของสเกิร์ตหลัง โดยรุ่น E200 ชายล่างสีดำด้าน ท่อไอเสียซ้ายขวาทรงใบไม้ตัดกรอบสีเงิน มีดิฟฟิวเซอร์เล็กๆสีดำ 3 ครีบตรงกลางรถโดยมีแถบโครเมี่ยมตัดขอบลากจากท่อไอเสียด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ส่วนรุ่น E53 จะมาพร้อมกับชายล่างสีดำด้านเช่นกันแต่มาพร้อมท่อไอเสียทรงกลมคู่ทั้งซ้ายขวา ตัดด้วยขอบโลหะสีเงินลากพาดจากท่อไอเสียฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งด้วยเส้นที่หนากว่า ดิฟฟิวเซอร์สีดำด้านขนาดใหญ่กว่าชัดเจน และมีสปอยเลอร์แบบตูดเป็ดสีดำเล็กๆแปะอยู่บนฝากระโปรงด้านท้าย ดีไซน์โดยรวมดูแตกต่างกันไม่มาก เพราะรถถูกออกแบบมาได้สวยงามลงตัวอยู่แล้ว ต่างกันที่รายละเอียดปลีกย่อยที่ให้ดูสปอร์ตขึ้นเท่านั้น

การออกแบบภายใน

การออกแบบภายในเลย์เอาท์ของทั้ง 2 โฉมตำแหน่งต่างๆรวมถึงช่องแอร์ทรงกลมทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่ทริมในการตกแต่งจะต่างกันโดยรุ่น E53 จะได้ทริมโลหะ Metal-Weave สีเงินด้านตัดกับหนังสีดำเดินด้ายแดง ส่วนรุ่น E200 จะได้เป็นลายไม้สีดำตัดกับหนังสีดำเดินด้ายสีขาว และพวงมาลัยที่ตัว E200 จะได้เป็นพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ล่าสุดของเบนซ์มาประจำการในห้องโดยสาร เป็นพวงมาลัย 3 ก้าน ท้ายตัดแป้นตรงกลางเป็นวงกลมเข้ากับเบ้าโลโก้ตราดาวพอดี ซึ่งในรุ่น E53 ก็เป็นท้ายตัดเหมือนกันเพราะปกติรุ่น AMG รหัสเลข 2 ตัว จะได้พวงมาลัยแบบนี้ โดยได้เป็นพวงมาลัย 4 ก้าน ก้านโลหะหุ้มด้วยหนังตัดสลับกับผ้าอัลคันทาร่าเดินตะเข็มแดงพร้อมมาร์คบอกตำแหน่งคืนศูนย์ที่ 12 นาฬิกาสีแดง มาตรวัดรวมถึงจอกลางจะใช้เป็นจอดิจิตอล 2 จอติดกันขนาดจอละ 12.3 นิ้ว โดยมาตรวัดสามารถแสดงรวมถึงปรับรูปแบบและสไตล์มาตรวัดได้หลากหลายด้วยปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย สำหรับจอกลางจะเป็นแบบทัชสกรีนที่แสดงระบบความบันเทิง แผนที่ รวมถึงแสดงไดนามิกของรถเพิ่มเติมได้โดยสามารถใช้งานนอกจากสัมผัสที่จอแล้วยังควบคุมผ่านทัชแพด บริเวณกลางรถได้อีกด้วย บริเวณคอนโซลกลางที่ที่กั้นระหว่างผู้โดยสาร 2 ฝั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในรุ่นปรับโฉมเพราะได้เอามาตรนาฬิกาวงกลมแบบเข็มออกไปแล้ว ถ้าใครชอบความคลาสสิคตัว E53 ยังมีให้คุณดูเวลาแบบอนาล็อคอยู่ ที่เท้าแขนทำเรียบไปในระดับเดียวกับอุโมงค์กลางรถซึ่งถูกออกแบบให้ต่ำที่ช่องวางแก้วและให้สูงขึ้นบริเวณช่วงแขนพอดี สำหรับเบาะนั่งของทั้ง 2 รุ่นเป็นเบาะแบบสปอร์ตกึ่งบัคเก็ตซีทเหมือนกัน รูปทรงเดียวกันต่างกันที่วัสดุที่ใช้โดยสำหรับรุ่น E200 จะหุ้มด้วยหนัง Nappa โดยมีภายในให้เลือก 2 สีคือสีดำล้วนตะเข็บขาว หรือสีทูโทนดำแดงตะเข็บขาว ซึ่งถ้าเลือกสีทูโทน บริเวณแผงประตูก็จะตกแต่งด้วยสีทูโทนเช่นกัน ส่วนรุ่น E53 จะเป็นหนังเทียมสีดำ AMG Artico ตัดกับผ้าอัลคันทาราซึ่งเบนซ์จะเรียกว่า Dinamica Microfibre พร้อมเดินตะเข็บด้ายสีแดง สำหรับเบาะหลังก็จะใช้วัสดุแบบเดียวกับเบาะหน้า พร้อมมีเข็มขัดนิรภัยให้ 4 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารทุกคน โดยรุ่น E200 จะได้เข็มขัดนิรภัยสีดำส่วนรุ่น E53 จะได้สีแดง และทั้ง 2 รุ่นยังมีหลังคาแบบพาโนรามิคซันรูฟที่มีชัตเตอร์ปิดแสงได้ด้วย ยังไม่ทิ้งความหรูไป

อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของ 2024 Mercedes-Benz E-Class Coupe รุ่นใหม่ในไทยอยู่ที่ 8.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร,และตามที่ผู้ผลิตทางการระบุไว้ว่า ตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของ 2021 Mercedes-Benz E-Class Coupe E 200 AMG Dynamic อยู่ที่ 8.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร.

ประเภทเชื้อเพลิง รูปแบบเกียร์ อัตราสิ้นเปลือง
Petrol(1991cc)AT8.4 L/100km

รถแนะนำสำหรับคุณ

รุ่นรถ Mercedes-Benz10 อันดับรถเบนซินอัพเดท
ฮิต
MG

MG ZS

THB 689,000 - 799,000

ชมรุ่นรถ
Kia

EV9

THB 3,899,000

ชมรุ่นรถ
XPeng

G6

THB 1,060,000 - 1,410,000

ชมรุ่นรถ
ฮิต
Deepal

L07

THB 1,329,000

ชมรุ่นรถ
GAC

GAC Aion Y Plus

THB 1,069,900 - 1,299,900

ชมรุ่นรถ

ช่องจ่ายไฟสำรองของMercedes-Benz E-Class Coupeมีอะไรบ้าง

มีช่องจ่ายไฟสำรองและรุ่นย่อยของMercedes-Benz E-Class Coupe ได้แก่

รุ่นย่อย2020 2.0 Mercedes-Benz E-Class Coupe E 200 AMG Dynamic
ช่องจ่ายไฟสำรองใช่

ไฟเตือนสถานะเครื่องยนต์ของMercedes-Benz E-Class Coupeมีอะไรบ้าง

มีไฟเตือนสถานะเครื่องยนต์และรุ่นย่อยของMercedes-Benz E-Class Coupe ได้แก่

รุ่นย่อย2020 2.0 Mercedes-Benz E-Class Coupe E 200 AMG Dynamic
ไฟเตือนสถานะเครื่องยนต์ใช่

ช่องปรับอากาศตอนหลังของMercedes-Benz E-Class Coupeมีอะไรบ้าง

มีช่องปรับอากาศตอนหลังและรุ่นย่อยของMercedes-Benz E-Class Coupe ได้แก่

รุ่นย่อย2020 2.0 Mercedes-Benz E-Class Coupe E 200 AMG Dynamic
ช่องปรับอากาศตอนหลังใช่