ลองขี่ Royal Enfield Hunter 350 ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย!
หลังจากที่ได้มีภาพหลุด และกระแสข่าวมาอย่างยาวนานในที่สุดรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่จากทาง Royal Enfield ก็มาถึงกับเจ้า Royal Enfield Hunter 350 นั่นเอง และสิ่งที่พิเศษสุด ๆ ในครั้งนี้ก็คือรถรุ่นนี้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยของเรานั่นเอง และทาง AutoFun Thailand ก็ได้เข้าร่วมงานเปิดตัว พร้อมทดสอบขับขี่ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดของตัวรถรุ่นนี้ พร้อมสมรรถนะจะเป็นอย่างไรตามเราไปชมกันเลย
ดีไซน์คลาสสิค สวยงามลงตัว
ขุมพลังเครื่องยนต์กำลังดี
ระบบกันสะเทือน และระบบเบรก
แรกพบสบตา Royal Enfield Hunter 350
ได้เวลาออกขี่
บทสรุป
ทดสอบขับขี่ครั้งแรกของโลก
ดีไซน์คลาสสิค สวยงามลงตัว
Royal Enfield Hunter 350 มาพร้อมการดีไซน์ตัวรถในสไตล์คลาสสิคที่มุ่งเน้นไปที่ความคล่องตัวในการใช้งานภายในเมือง โดยด้านหน้ามาพร้อมกับชุดไฟทรงกลมขนาดใหญ่พร้อมไฟเลี้ยวทรงกลมด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่มันยังเป็นหลอดแบบไส้อยู่ไม่ได้มาพร้อมไฟ LED
ชุดไฟด้านหน้า
แต่ในส่วนของไฟเบรกด้านท้ายนั้นให้มาเป็น LED ถัดมาที่ตัวแฮนด์บาร์ Royal Enfield Hunter 350 มาพร้อมกับแฮนด์บาร์ทรงกว้างที่เน้นการบังคับเลี้ยว และควบคุมตัวรถที่คล่องตัว รับกับตัวเบาะนั่งแบบตอนเดียวมีเว้าไล่ระดับเล็กน้อย ซึ่งมาพร้อมกับท่าทางที่นั่งสบายไม่เมื่อยล้า
ไฟเบรกด้านท้ายเป็น LED
ส่วนหน้าจอเรือนไมล์นั้นตัวรถให้มาเป็นหน้าจอเรือนไมล์แบบผสมมีทั้งแบบเข็มอนาล็อค และดิจิตอล พร้อมระบบนำทาง Google Map ในตัว(เฉพาะในรุ่นท็อปเท่านั้น) ส่วนของตัวถังน้ำมันขนาดความจุ 15 ลิตรนั้นมาพร้อมดีไซน์ที่สวยงามลงตัวเข้ากับตัวรถสุด ๆ
เรือนไมล์พร้อมระบบนำทางในรุ่นท็อป
ขุมพลังเครื่องยนต์กำลังดี
ในด้านของเครื่องยนต์นั้น Royal Enfield Hunter 350 มาพร้อมกับเครื่องยนต์บล็อกเดียวกันกับทาง Royal Enfield Classic 350 ที่มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 349 ซี.ซี. แบบ 1 สูบ 4 จังหวะ 2 วาล์ว จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด ระบายความร้อนด้วยอากาศ และน้ำมัน พร้อมขุมพลัง 20.2 แรงม้าที่ 6,100 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 27 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังขับเคลื่อนด้วยชุดโซ่ และสเตอร์ ผ่านชุดเกียร์แบบ 5 สปีด
เครื่องยนต์ยกมาจาก Classic 350
ระบบกันสะเทือน และระบบเบรก
Royal Enfield Hunter 350 มาพร้อมโช้คอัพด้านหน้าแบบเทเลสโคปิกกับขนาดแกน 41 มม. พร้อมระยะยุบที่ 130 มม. ส่วนด้านหลังมาพร้อมโช้คอัพแบบสปริงคู่ที่สามารถปรับตั้งค่าพรีโหลดได้ถึง 6 ระดับกับระยะยุบที่ 102 มม.
โช้คอัพด้านหลังปรับพรีโหลดได้ 6 ระดับ
ในส่วนของระบบเบรกตัวรถจะมาพร้อมจานดิสก์เดี่ยวด้านหน้าขนาด 300 มม. ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 2 สูบ ส่วนด้านหลังมาพร้อมจานดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 270 มม. ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรกแบบ 1 สูบ พร้อมเสริมความปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้นด้วยระบบเบรก ABS ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ส่วนตัวยางด้านหน้าให้มาเป็นขนาด 110/70-17 และด้านหลังที่ 140/70-17
ระบบเบรก ABS ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
แรกพบสบตา Royal Enfield Hunter 350
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เราได้เห็นก็คืองานดีไซน์ และการออกแบบของตัวรถ Royal Enfield Hunter 350 ซึ่งต้องบอกเลยว่าตัวรถจริงนั้นสวยมาก ทุกอย่างดูลงตัว สวยงาม มีความคลาสสิคแต่ก็แฝงไว้ด้วยความทันสมัยซึ่งดูแตกต่างไปจากรถของ Royal Enfield ที่ผ่านมาที่มุ่งเน้นไปที่ความคลาสสิคแนวย้อนยุค ซึ่งงานออกแบบรวมไปถึงชุดสีภายนอกนั้นเราให้ผ่านเพราะตัวรถมันหล่อมากจริง ๆ
ชุดสีสวยมาก
ได้เวลาออกขี่
สำหรับการทดสอบขับขี่ในครั้งนี้นั้นต้องบอกเลยว่าเราเป็นนักข่าวกลุ่มแรกของโลกที่ได้ทดสอบขับขี่เจ้า Royal Enfield Hunter 350 ในครั้งนี้ซึ่งรูปแบบการทดสอบจะเป็นการวิ่งขับขี่ใช้งานภายในเมืองอย่างกรุงเทพฯ รวมระยะทางกว่า 103 กม. ซึ่งนอกจากการขับขี่บนถนนแล้ว เรายังได้มีโอกาสนำมันลงไปหวดภายในแทร็คของสนามแข่งโกคาร์ทที่บริเวณทะเลสาบเมืองทองธานีอีกด้วย และที่พิเศษสุด ๆ เลยก็คือรอบการทดสอบของ AutoFun Thailand นั้นเป็นการขับขี่ในสภาพถนนที่เปียกลื่น เพราะในวันที่เราได้ทำการทดสอบขับขี่นั้นมีฝนตกหนักตลอดทั้งคืน
ฝนตกตลอดทั้งคืน กลัวที่ไหน
และแล้วก็ได้เวลาบิดกุญแจออกสตาร์ท ซึ่งสิ่งแรกที่เรามองเห็นเลยก็คือหน้าจอเรือนไมล์ทรงกลมที่มีความสวยงามใช้งานง่าย เพราะมีทั้งในส่วนที่เป็นดิจิตอลคอยบอกข้อมูลของตัวรถ และมาตรวัดความเร็วที่เป็นเข็มมาให้ ส่วนความสูงของตัวเบาะนั่งนั้นจะอยู่ที่ 800 มม. นั่นทำให้เราที่มีความสูง 168 ซม. สามารถวางเท้าได้แบบเต็มเท้าอย่างมั่นใจ พร้อมกับตัวเบาะนั่งที่มีความหนา และนุ่มมาก ๆ ทำให้เจ้า Hunter 350 คันนี้นั่งสบายแบบสุด ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นแฮนด์บาร์ทรงกว้างที่ให้มา กับตัวเบาะนั่งที่รับกันอย่างพอดี แต่เรามีติดตรงตำแหน่งวางเท้าเพียงจุดเดียวเพราะเมื่อเราวางเท้าในลักษณะที่จิกปลายเท้าส้นเท้าของเราจะไปพาดอยู่บนตัวท่อไอเสียนั่นเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรเพราะเราสามารถปรับตำแหน่งเท้าได้ เพราะบางคนอาจจะไม่ได้ขับขี่วางเท้าในลักษณะแบบนี้ก็ได้
ขับขี่ท่ามกลางสายฝน ยางเดิมโคตรดี
ในส่วนของเครื่องยนต์ที่ให้มาเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับ Royal Enfield Classic 350 นั้นทำให้ตัวรถเป็นมิตรแบบสุด ๆ กำลังของเครื่องยนต์จะค่อย ๆ มาแบบเรื่อย ๆ ไม่ได้ปรู๊ดปร๊าดทอร์คหนักหน่วง ซึ่งเรามองว่ามันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียข้อดีก็คือเครื่องยนต์บล็อกนี้ขี่ง่าย เป็นมิตรกับทุกคน โดยเฉพาะกับมือใหม่ หรือผู้ที่ไม่เคยขับขี่รถครัชท์ และอยากจะเริ่มลองดูเราว่า Royal Enfield Hunter 350 คันนี้เหมาะมาก ๆ แต่สำหรับสายความเร็วต้องการรอบจัด ๆ เปิดแล้วพุ่งออกมาเลย Royal Enfield Hunter 350 ไม่ตอบโจทย์อย่างแน่นอน
ขี่ง่าย คล่องตัว ควบคุมได้ทุกจังหวะ
และอย่างที่เราได้บอกไปว่าเราได้ขับขี่ท่ามกลางพายุฝนเพราะฉะนั้นยางติดรถที่ให้มาประทับใจเรามาก เพราะตัวรถไม่แสดงอาการลื่น หรือท้ายปัดออกมาให้เราได้เห็นแต่อย่างใด แม้จะขับขี่มาด้วยความเร็ว และทำการลดเกียร์ลงอย่างรวดเร็วก็ตามที ซึ่งเรามองว่านี่คือข้อดีอีกข้อของเครื่องยนต์บล็อกนี้ที่รอบเครื่องไม่ได้จัด เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเปิดคันเร่งหมดแค่ไหนก็ตามความเร็วของตัวรถจะค่อย ๆ มาแบบเรื่อย ๆ เราจึงคิดว่านี่น่าจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ตัวรถไม่ออกอาการลื่น หรือท้ายปัดให้เราได้เห็นแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเปิดคันเร่งเร็วในโค้ง หรือเปิดคันเร่งออกตัวจากไฟแดงก็ตามที
ต้องบอกว่าด้วยรอบเครื่องที่มาอย่างนุ่มนวล ทำให้ไม่มีอาการลื่นเลย
ต่อมาในส่วนของระบบเบรก และช่วงล่างติดรถที่ให้มานั้นเพียงพอเพราะเราได้ลองเข้าโค้งด้วยความเร็วภายในแทร็คสนามแข่งมาแล้วตัวรถไม่แสดงอาการย้วย หรือโยนให้เราได้เห็นแต่อย่างใด ส่วนระบบเบรก ABS ที่ให้มานั้นก็เอาอยู่เพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
เข้าโค้งด้วยความเร็วได้แบบไม่มีอาการ
บทสรุป
สรุปแล้ว Royal Enfield Hunter 350 คันนี้เหมาะมากสำหรับการขับขี่ใช้งานภายในเมือง เพราะตัวรถมาพร้อมความคล่องตัวที่สูง ท่าทางการขับขี่ที่สบาย เครื่องยนต์ไม่ดุดันนุ่มนวลขี่ง่ายเหมาะทั้งมือใหม่ และมือเก๋า ดีไซน์ภายนอกหล่อสุด ๆ ไม่หักเลย และที่สำคัญสาย Custom จะต้องถูกใจมันอย่างแน่นอนเพราะแค่แต่งนิดผสมหน่อย Royal Enfield Hunter 350 คันนี้จะออกมาเท่แบบสุด ๆ
มันขี่สนุกจริง ๆ นะ
และด้วยสมรรถนะขนาดนี้ มาพร้อมออฟชั่นแบบนี้กับราคาในรุ่นสแตนดาร์ดที่ 129,900 บาท และในรุ่นท็อปที่ 132,900 บาทนั้นเรียกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก ๆ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้จะแตกต่างกันตรงที่ชุดสี และระบบนำทางแบบเทิร์นบายเทิร์นเท่านั้นเอง โดยตัวรถจะพร้อมส่งมอบได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนสำหรับในประเทศไทย
อ่านเพิ่มเติม : 2022 Royal Enfield Scram 411
อ่านเพิ่มเติม : Royal Enfield Tour of Thailand 2022 การเดินทางกว่า 1,600 กม.
อ่านเพิ่มเติม : 2022 All-New Royal Enfield Classic 350 เปิดตัวแล้ว