ระบบความปลอดภัยในรถยนต์มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะถุงลมนิรภัยที่ช่วยชีวิตผู้ขับขี่และผู้โดยสารมานับไม่ถ้วน

หน่วยงานความปลอดภัยบนถนนหลวงของสหรัฐอเมริกาหรือ NHTSA คาดการณ์ว่าถุงลมนิรภัยช่วยชีวิตผู้คนมากกว่า 50,000 คนตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่ามหาศาลอย่างมากทั้งที่เป็นการคาดการณ์เฉพาะในสหรัฐเท่านั้น

ถุงลมนิรภัยคืออุปกรณ์ปกป้องความปลอดภัยเชิงรับ (passive safety) มีการทำงานที่เรียบง่ายอย่างยิ่งแต่ช่วยปกป้องได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวถังลมจะระเบิดออกภายในเสี้ยววินาทีเมื่อเกิดการชนปะทะเพื่อช่วยปกป้องตัวผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารไม่ให้กระแทกกับพื้นผิวแข็งภายในตัวรถ

ในรถยนต์ยุคใหม่ ถุงลมนิรภัยถูกติดตั้งอยู่ในพวงมาลัย แดชบอร์ด และโครงหลังคา โดยมีทั้งถุงลมนิรภัยด้านหน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมที่ปกป้องเกือบทุกส่วนของร่างกาย

ถุงลมนิรภัยนวัตกรรมใหม่

จำนวนถุงลมนิรภัยมีเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ ดังนั้น Mercedes-Benz จึงติดตั้งถุงลมนิรภัยเข้าไปอีกหนึ่งคู่ที่เบาะหลัง โดยเริ่มใช้ครั้งแรกในรถยนต์ S-Class W223 (2022 เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส) เจนเนอเรชั่นใหม่

S-Class W223 เป็นรถยนต์โปรดักชั่นรุ่นแรกที่มาพร้อมถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ก่อนอื่นเราต้องไม่เข้าใจผิดว่านี่คือถุงลมนิรภัยด้านข้างหรือม่านนิรภัย แต่เป็นถุงลมนิรภัยที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โดยสารบนเบาะหลังโดยเฉพาะ

ถุงลมนิรภัยตอนหลังที่ติดตั้งที่ด้านหลังเบาะคู่หน้าใช้ดีไซน์แบบทูบูลาร์ ทำให้ตัวถุงลมไม่ได้มีการอัดแรงดันลมเข้าไปทั้งหมด แต่ส่วนกลางจะมีความยืดหยุ่นสูงคล้ายกับถุงมือเบสบอลหรือเปรียบให้เห็นชัดกว่าเดิมคือแทรมโบลีนที่มีความนุ่มตรงส่วนกลาง

ตัววาล์วที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะและเป็นเอกสิทธิ์ของ Mercedes-Benz จะช่วยคงแรงดันลมอย่างเหมาะสมเพื่อโอบรับศีรษะของผู้โดยสาร ขณะเดียวกัน ตัวถุงลมยังทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยเพื่อการปกป้องสูงสุด

การออกแบบถุงลมนิรภัยด้านหลังเช่นนี้จะช่วยป้องกันศีรษะและลำคอของผู้โดยสารเมื่อเกิดการชนปะทะอย่างรุนแรง

หนึ่งในความท้าทายของการพัฒนาถุงลมสำหรับเบาะหลังคือการออกแบบโครงสร้างถุงลมที่ครอบคลุมสรีระมนุษย์ทุกรูปแบบและท่วงท่าในการนั่งโดยสาร ค่ายรถยักษ์ใหญ่เยอรมันระบุว่าคอนเซปต์การออกแบบถุงลมด้านหลังนั้นแตกต่างจากด้านหน้าอย่างมาก

หากดูจากประวัติศาสตร์ยานยนต์ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้สูงว่าถุงลมนิรภัยบนเบาะหลังจะถูกแนะนำใช้งานโดยบริษัทรถยนต์รายอื่น ๆ ตามมาอย่างแน่นอน โดยอาจเริ่มจากรถระดับพรีเมียมก่อนทยอยติดตั้งในรถกระแสหลักที่เอื้อมถึงได้ง่ายมากขึ้น