- เครื่องยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ ใช้ครั้งแรกของฮอนด้า
- แรงสะใจ 315 นิวตันเมตร 184 แรงม้า
- ล็อกความเร็วสูงสุด 191 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- ไวขึ้นแต่ประหยัดและลดมลพิษจากรุ่นเทอร์โบ
- ถ้าจ่าย 1.259 ล้านบาทไหว ก็ถือว่าคุ้มค่าเลย
2022 Honda Civic e:HEV (ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี) คือการปรับปรุงสินค้าของ Honda (ฮอนด้า) เพื่อการรักษาความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งระดับกลางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเซอร์ไพร์สอะไรมากมาย กับการเสริมทัพด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด e:HEV ของฮอนด้าในรถยนต์ที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบันนี้
เพราะหากไปดูจริง ๆ ก็จะพบว่า ฮอนด้านั้นหากไม่ทำตลาดรถด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ พวกเขาก็มีเครื่องยนต์ไฮบริดเป็นออพชั่นอยู่แล้ว บางรุ่นก็มีทั้ง 2 เครื่องยนต์ บางรุ่นก็ไม่มีทางเลือกให้กับลูกค้า แต่ในหลาย ๆ ครั้ง พวกเขาก็จะเน้นย้ำถึงความสำคัญของเครื่องยนต์พลังงานไฟฟ้า ว่าเป็นทางเลือกที่ฮอนด้ามุ่งหน้าจะเดินหน้าไปต่อ
เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกใจที่สินค้าหลักของค่ายอย่างซีวิค ที่เครื่องยนต์เทอร์โบก็ฟาดส่วนแบ่งตลาดไปแล้วกว่า 60% ในปัจจุบัน จึงได้รับการเลือกเครื่องยนต์ไฮบริดมาติดตั้งเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า พร้อมกับการเน้นย้ำถึงความสำคัญแบบกลาย ๆ ด้วยการใส่ออพชั่น RS แบบท็อป ๆ ในเครื่องยนต์นี้เท่านั้น และยกเลิกเครื่องยนต์เทอร์โบ RS ไปเลย
ตัวค่าตัว 1.259 ล้านบาทที่ฮอนด้าวางเอาไว้ให้กับรุ่นท็อป หลาย ๆ คนอาจจะมองว่ามันแพงไปหรือไม่ แต่จากการที่ AutoFun Thailand ได้เข้าร่วมทดสอบแล้ว ต้องบอกว่ามีหลาย ๆ จุดที่เราประทับใจกับรถคันนี้ และเชื่อว่ามีลูกค้าที่พร้อมยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกไม่มาก หากเทียบกับราคา 1.199 ล้านบาทของเทอร์โบตัวท็อปรุ่นเดิม เพิ่มเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่
เพราะฮอนด้าเองได้ทำการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่มาเพื่อรองรับการใช้งานอย่างเต็มที่ พร้อมด้วยออพชั่นที่ใส่เพิ่มเข้ามาตามที่ลูกค้าชาวไทยอยากได้หลายอย่าง เมื่อเปรียบเทียบกับค่าตัวของรุ่นไฮบริด EL+ ที่ห่างกันอยู่ 1.3 แสนบาทแล้ว ใครที่มีความพร้อมที่จะจับจ่ายได้นั้น คงลังเลไม่น้อย เพราะออพชั่นที่ให้มาถือว่าครบครันและพร้อมจนเรียกว่าล้นก็ไม่ผิด
ยกเว้นแต่ชอบเครื่องยนต์เทอร์โบจริง ๆ ก็ต้องทำใจได้ออพชั่นแบบรอง ๆ กันไปก็เท่านั้น...
เครื่องยนต์ใหม่ที่ไม่ได้ยกมาจากรถรุ่นไหนทั้งสิ้น
พอบอกว่าเครื่องยนต์ไฮบริด 2.0 ลิตร หลาย ๆ คนจะเข้าใจว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ยกมาจาก Honda Accord Hybrid (ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด) แต่จริง ๆ แล้วนี่คือเครื่องยนต์ใหม่ที่ฮอนด้าคิดค้นขึ้นมา เป็นการผสานการทำงานของเครื่องยนต์แบบหัวฉีดตรงขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังของเครื่องยนต์เพิ่มมากขึ้นเป็น 141 แรงม้า
ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่แยกการทำงานในส่วนของการปั่นไฟและการขับเคลื่อน เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถส่งกำลังได้อย่างต่อเนื่อง และรองรับโหมดการขับขี่ที่วางเอาไว้ได้ทุกรูปแบบ แถมยังทำการพัฒนาระบบส่งกำลัง E-CVT ให้ส่งกำลังได้อย่างต่อเนื่อง รองรับการขับขี่แบบดุดัน พร้อมการอัพเกรดระบบควบคุมเครื่องยนต์ต่าง ๆ เพิ่มเติม
ผลก็คือ เครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดุดัน ด้วยกำลัง 184 แรงม้า ที่หลายคนอาจจะบอกว่าก็ไม่ได้เพิ่มจากรุ่นเทอร์โบที่ให้ 178 แรงม้าเท่าไหร่ แต่หากดูตัวเลขแรงบิดที่รุ่นไฮบริดให้มาถึง 315 นิวตันเมตร (เทอร์โบ 240 นิวตันเมตร) และมาที่รอบต่ำแค่ 2,000 รอบต่อนาที ขอบอกเลยว่าแรงเร้าใจกันอย่างแน่นอน
อัตราเร่งออกตัวที่ว่องไว แต่ท็อปสปีดล็อกต่ำกว่า
ในการขับขี่บนท้องถนนนั้น อัตราเร่งของรุ่นไฮบริดนั้นปรู๊ดปร๊าดกว่ารุ่นเทอร์โบที่ปกติก็ให้การตอบสนองที่ดีอยู่แล้ว และให้อารมณ์การขับขี่ที่กระตือรือล้นมากกว่า ด้วยรูปแบบของเครื่องยนต์ลูกผสม ที่ไม่ได้เน้นการตอบสนองของเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ซึ่งเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ ตั้งแต่กดคันเร่งเอารถออกตัวครั้งแรก
ไม่ใช่แค่ความคล่องตัวว่องไวเท่านั้น ลักษณะของการขับขี่ที่ฮอนด้าเซตอัพเครื่องยนต์รุ่นนี้มาก็มีความนุ่มนวลและไหลลื่นมากกว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับช่วงล่างให้นุ่มและหนึบขึ้น เพื่อรับมือกับน้ำหนักของแบตเตอรี่และอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นมากอีก 100 กิโลกรัม การส่งกำลังของเกียร์ซีวีทีใหม่ก็ให้การตอบสนองที่ดีในทุกย่านความเร็ว
ในช่วงการออกตัว รถอาจจะค่อย ๆ ไหลความเร็วไปเรื่อย ๆ และส่งกำลังออกมาอย่างว่องไว้ไปจนถึงความเร็วสูงประมาณ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นก็จะค่อย ๆ วิ่งไปที่ท็อปสปีดที่ล็อกเอาไว้ที่ 191 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะขัดใจ เพราะเทอร์โบนั้นล็อกที่ 200 แต่เอาจริง ๆ ใครจะไปขับไวขนาดนี้ได้ตลอดเวลากันเล่า
ฮอนด้าบอกว่า พวกเขาตั้งใจที่จะเซตอัพรถคันนี้ให้มีการขับขี่ที่สนุกสนาน การปรับการตอบสนองของเกียร์และเครื่องยนต์ โดยเฉพาะในย่านความเร็วที่ใช้งานบ่อยที่สุด หากปรับโหมดการขับขี่ที่วางเอาไว้เป็น Eco/Normal/Sport ก็จะพบความแตกต่างของการตอบสนองของรถที่ไม่เหมือนกัน เพื่อให้ลูกค้าขับขี่ได้ตามต้องการ
นอกจากนี้ พวกเขาระบุว่าหากใช้งานรถคันนี้แบบปกติ ซีวิค อี:เอชอีวี จะให้การประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่ารุ่นเทอร์โบ โดยเคลมตัวเลขเอาไว้ที่ 25 กิโลเมตรต่อลิตร (เทอร์โบ 17.2) พร้อมการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการปล่อยไอเสียเพียง 96 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้นเอง เรียกว่าทั้งขับสนุกสนานและรักษ์โลกไปพร้อม ๆ กันเลยทีเดียว
ใส่ออพชั่นเพิ่ม ลูกค้าเดิมมีค้อนจนเหลียวหลัง
ออพชั่นหลาย ๆ อย่างที่ลูกค้าชาวไทยเคยอยากได้ หรือสงสัยว่าทำไมในรุ่นเทอร์โบเก่าไม่มีมาให้ ฮอนด้าได้ติดตั้งมาให้จนครบ ไม่ว่าจะเป็นเบาะหลังแบบพับได้ 60:40 ที่อาจจะใช้งานยากไปสักนิด เพราะต้องไปเปิดล็อกที่ห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย หรือช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่ติดตั้งมาให้ เพื่อเพิ่มความเย็นสำหรับผู้โดยสารหลัง
ฮอนด้าระบุว่าพวกเขาได้ทำการปรับปรุงในส่วนของเบาะที่นั่งตอนหลัง ที่มีความปลอดภัยมากขึ้นจากตอนพัฒนารุ่นเทอร์โบ ทำให้สามารถถอนคานเหล็กที่ติดตั้งหลังเบาะ สำหรับการป้องกันวัสดุในห้องเก็บสัมภาระไหลมาชนผู้โดยสารได้ ทำให้สามารถเพิ่มออพชั่นนี้ให้กับลูกค้าชาวไทยได้เสียที ซึ่งก็ทำให้รถคันนี้น่าใช้งานมากขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ หากคุณเลือกซื้อรุ่น RS คุณจะได้ออพชั่นที่เหนือกว่ารุ่น EL+ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบ Smart Key พร้อมด้วย Honda CONNECT ระบบความปลอดภัย Honda SENSING และอุปกรณ์ในห้องโดยสารหลายอย่างที่ให้มาเพิ่มเติม ที่ช่วยให้การขับขี่และการใช้งานนั้น เป็นไปได้อย่างครบครันมากขึ้นในรถคันนี้
ภายนอกแต่งด้วยชิ้นสีดำ และ H Mark กรอบฟ้า
ในรุ่นท็อป ฮอนด้าทำการติดตั้งชุดแต่งแบบ RS รอบคันมาให้ โดดเด่นด้วยชุดแต่งสีดำในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น มือจับประตู กระจกมองข้าง เสาอากาศแบบครีบฉลามหรือสปอยเลอร์หลัง ล้ออัลลอย 18 นิ้วสีใหม่ พร้อมด้วย H Mark ที่มาพร้อมกรอบสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของรุ่นไฮบริด พร้อมด้วยการเพิ่มความหรูหราด้วยชิ้นส่วนโครเมียมตามตำแหน่งต่าง ๆ ของรถ
ห้องโดยสารออพชั่นเต็ม แต่งสปอร์ตกึ่งเรโทร
ฮอนด้ายังใช้การออกแบบห้องโดยสารเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ 10.2 นิ้ว หน้าจอกลาง 9 นิ้วแบบลอยตัว รองรับการเชื่อมต่อหลากหลาย ติดตั้งไวร์เลส ชาร์จเจอร์มาให้ พร้อมช่องชาร์จแบบยูเอสบีรอบคัน เบาะที่นั่งสีเทาหนังสลับ เดินด้ายแดงทั้งเบาะและพวงมาลัย ผสานการตกแต่งด้วยสีดำมันและลายเส้นสีแดงทั่วคัน ให้บรรยากาศสปอร์ตแบบย้อนวัยนิด ๆ
เงียบกว่าเดิมด้วยระบบการจัดการเสียงครั้งแรก
ฮอนด้า ซีวิค ติดตั้งระบบการจัดการเสียงในห้องโดยสารที่เรียกว่า ANC (Active Noise Control) เป็นครั้งแรกของซีวิคที่ได้รับการติดตั้งระบบดังกล่าว ส่งผลให้เสียงในห้องโดยสารนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ให้ความสบายในการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง ผสานกับการจัดการช่วงล่างที่ดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ได้รถที่นุ่มนวลแต่ให้สัมผัสการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ใคร
ออพชั่นความปลอดภัยล้น ๆ คัน มีมาให้ครบแล้ว
นอกเหนือไปจาก Honda SENSING ที่มาครบทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการเตือนการชนด้านหน้าพร้อมช่วยเบรก ระบบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมการวิ่งตามคันหน้าที่ความเร็วต่ำ ระบบเตือนและควบคุมรถให้อยู่ในเลน ไฟสูงอัตโนมัติ Honda LaneWatch เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือพื้นฐานทั้งหมด ถุงลมนิรภัย 6 ใบ และระบบด้านความสะดวกในการใช้งานอย่างระบบล็อกรถเมื่อเดินออกจากรถก็ดี หรือ Honda CONNECT ที่ช่วยเช็คสถานภาพของรถได้อย่างง่ายดาย
แต่ก็มีจุดที่แอบไม่ชอบอยู่บางจุดนะ
Honda Civic e:HEV น่าจะเป็นรถที่เข้าจริตผมที่สุดรุ่นหนึ่งที่ได้ทำการทดสอบมา แต่เอาจริง ๆ ก็ต้องบอกว่ามีหลายเรื่องที่อาจจะยังไม่ค่อยชอบมาก ยกตัวอย่างเช่น เสียงของเครื่องยนต์โหมดสปอร์ตที่ออกจะ AI ไปสักนิด การตอบสนองของโหมดการขับขี่ที่ไม่ได้แตกต่างกันรู้สึกอะไรขนาดนั้น แถมเสียงยางที่ดังไปนิดในช่วงของการวิ่งผ่านพื้นถนนที่ผิวไม่เรียบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ระบบพับเบาะก็แอบใช้งานยาก หรือเรื่องเดิม ๆ อย่าง Honda LaneWatch ที่กล้องไม่ค่อยชัด หรือการที่ไม่มีเซนเซอร์ช่วยถอยจอดมาให้ ซึ่งเป็นเรื่องจุกจิกที่ลูกค้าฮอนด้าจริง ๆ อาจจะไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาต่อการจับจองเป็นเจ้าของแต่อย่างใด
เทียบกับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ประกันแบตเตอรี่ 10 ปี แถมจองตอนนี้มีดอกเบี้ย 2.59% ฟรีประกันภัย ฟังแล้วน่าสนใจกว่าพารากราฟขี้บ่นข้างบนเยอะเลย...