ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยภายใต้ปัญหาต่าง ๆ มากมาย ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการขาดแคลนชิ้นส่วนเซมิคอนดัคเตอร์เพื่อการผลิต Honda (ฮอนด้า) มียอดจำหน่ายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเลือกเปิดตัวสินค้าหลายต่อหลายรุ่นที่โดนใจผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ถือว่าเป็นผู้นำทั้งด้านยอดจำหน่ายและด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีการแนะนำให้กับผู้บริโภคในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง
และล่าสุดในการเปิดตัว 2022 Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) ถือเป็นการเปิดฤกษ์ของ โนริยุกิ ทาคาคุระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่เข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของฮอนด้าในไทยเมื่อไม่นานมานี้
แน่นอนว่าการเข้ามากุมบังเหียนบริษัทที่กำลังเติบโตนั้น ย่อมถูกจับตามองว่าฮอนด้าจะสามารถรักษาความร้อนแรงของตลาดได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ และจะมีแผนการอย่างไรในการต่อสู้กับคู่แข่ง ที่ต่างก็มองว่าอยากจะเพิ่มยอดจำหน่ายในช่วงครึ่งปีหลังนี้
"เราก็หวังว่าในช่วงครึ่งปีหลังเราจะมียอดจำหน่ายที่มากขึ้น และเราเชื่อว่าจะสามารถผลักดันให้ฮอนด้าสามารถครองความเป็นเจ้าตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องอีกครั้งในปี 2564" คำตอบที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจ
อะไรที่ทำให้เขามั่นใจได้ขนาดนี้ มาติดตามกัน...
เติบโตท่ามกลางความระมัดระวังของผู้บริโภค
ทาคาคุระระบุว่าแม้ฮอนด้าจะมียอดจำหน่ายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก แต่ก็ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ตลาดในภาพรวมนั้นยังคงชะลอตัวอยู่ เนื่องจากผลกระทบของโควิดตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่ทวีความรุนแรงและกระจายในวงกว้าง
เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น รวมทั้งชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าลง อย่างไรก็ตาม ฮอนด้ายังมียอดจำหน่าย 42,715 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 27.4%
"ฮอนด้ายังเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และครองอันดับหนึ่งได้ในหลายเซกเมนต์ อาทิ Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) มีส่วนแบ่ง 29.3% ฮอนด้า ซีวิค มียอดขาย 64.4% และ Honda CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์-วี) มียอดขาย 60.1% ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าพอใจ"
วางแผนเติบโตครึ่งปีหลังต่อเนื่อง
นายใหญ่ค่ายฮอนด้าระบุว่าแม้จะทำยอดจำหน่ายได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก แต่พวกเขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และตั้งเป้าหมายที่จะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยจะเป็นผลจากโมเดลใหม่ ๆ ที่เปิดตัว อย่างเช่น ฮอนด้า ซีวิค ที่เพิ่งเปิดตัวไปใหม่ล่าสุด
ทั้งนี้่ ฮอนด้าตั้งเป้าหมายการจำหน่ายฮอนด้า ซีวิค ในประเทศไทยที่ปีละ 1.7 หมื่นคัน โดยจะเป็นยอดจำหน่ายที่เกิดขึ้นในปี 2564 ที่ 1 หมื่นคัน โดยสัดส่วนการขาย 66% จะอยู่ที่รุ่นอีแอล+ ที่เหลือจะเป็นของรุ่นอาร์เอสและอีแอลเท่า ๆ กันที่รุ่นละประมาณ 17%
"สิ่งที่เราทำกับฮอนด้า ซีวิค ก็คือการเพิ่มความคุ้มค่าให้กับลูกค้า เมื่อเราได้รับการปรับลดภาษีสรรพสามิตมา เราก็เพิ่มอุปกรณ์ให้ เช่น ฮอนด้า เซนส์ซิ่งที่ติดตั้งให้ทุกเกรด ในระดับราคาที่ไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่าจะแข่งกับตลาดซี-เซกเมนต์ในราคาเดียวกันได้"
ขณะที่ Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) ที่มียอดจำหน่ายน้อยกว่าคู่แข่งในช่วงครึ่งปีแรก ทาคาคุระกล่าวว่ายอดจำหน่ายของแอคคอร์ดน้อยกว่าคู่แข่ง 300-400 คัน และแน่นอนว่าฮอนด้าก็ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นที่หนึ่งในเซกเมนต์นี้ แต่ขอให้อดใจรอสักนิด***
ในส่วนของ Honda HR-V (ฮอนด้า เอชอาร์-วี) นั้น แน่นอนว่าเป็นตลาดที่มียอดจำหน่ายลดลงไป ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่มีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาหลายยี่ห้อ ซึ่งยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเดินหน้าหรือปรับตัวอย่างไร เพื่อแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น
ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดรอบด้าน
อย่างไรก็ตาม แม้ฮอนด้าจะตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตและรักษาการเป็นผู้นำตลาด แต่พวกเขาก็ยังต้องประเมินถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการระบาดระลอกที่สามของโควิดทำให้เกิดผลกระทบต่อการจำหน่ายของบริษัทเช่นเดียวกัน
"เรากำลังอยู่ระหว่างการทบทวนการจำหน่ายในช่วงครึ่งปีหลังของเรา แน่นอนว่าเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เราต้องศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะจำนวนยอดขายที่เปลี่ยนแปลงหรือผลกระทบต่อโมเดลที่แตกต่างกันออกไป"
หรือแม้แต่การขาดแคลนชิปเพื่อการผลิต ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่าผู้ผลิตเจ้าอื่น ๆ รวมถึงเราได้รับผลกระทบ ซึ่งเรากำลังพยายามอย่างเต็มที่ให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด แต่ผลกระทบนี้ยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก เราต้องพยายามทำให้การผลิตกลับมาเป็นปกติให้ได้
เพื่อให้ฮอนด้าสามารถรักษาการเป็นผู้นำตลาดได้อย่างแท้จริง!!!