Toyota Corolla Altis (โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส) รถคอมแพคซีดาน C-Segment ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน แต่ใครจะรู้ว่า ต้นกำเนิดของชื่ออัลติสนั้น มาจากโคโรลล่ารุ่นที่ไม่ประสบความสำเร็จ จนเกิดชื่อสร้อยท้ายเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า ตนเองนั้นก็มีดีเหมือนกันนะ ซึ่งรุ่นนั้นก็คือ Toyota Corolla Hi-torq

Toyota Corolla Hi-torq (โตโยต้า โคโรลล่า ไฮทอร์ค) รหัสตัวถัง AE111 คือโคโรลล่าเจเนเรชั่นที่ 8 ที่เป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่จากตัวถัง AE110 ที่เปิดตัวในปี 1996 ซึ่งจุดเริ่มต้นของการไม่ประสบความสำเร็จ มันมาจากตรงนี้นี่เอง 

Toyota Corolla AE110 มีฉายาคนไทยตั้งให้ว่าเป็นโคโรลล่า หน้าหนู หรือตูดเป็ด เพราะว่ามีกระจังหน้าที่แคบลงเหมือนปากหนู และมีขอบฝาท้ายนูนเชิดขึ้นเหมือนท้ายเป็ด ซึ่งในแง่ของดีไซน์ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Honda Civic ตาโต ที่มีไฟหน้าขนาดใหญ่ หน้าทรงลิ่มแบน ท้ายรถมีเสาหลังคาลาดเอียง และท้ายยกสูง ทำให้เกิดความแตกต่างจนโคโรลล่าดูจืดลงไปชัดเจน

นอกจากรูปทรงที่ดูจืดกว่าคู่แข่งแล้ว ยังมีพื้นฐานจากรุ่นเก่า AE100 จากปี 1990 ทำให้มีภายในที่คับแคบแบบรถยุคก่อนหน้า คอนโซลยังดูโบราณเหมือนโฉมสามห่วงรุ่นเก่า ด้วยรูปทรงเป็นตัว T แนวตั้งชัน ในขณะที่คู่แข่งอย่างฮอนด้า ซีวิค ตาโต กลับมีพื้นฐานใหม่ ภายในปรับปรุงความกว้างขวาง และคอนโซลที่ไร้ความเหลี่ยม แบ่งสัดส่วนยกแป้นควบคุมให้อยู่ใกล้คนขับตามสมัยนิยมมากกว่า

อ่านเพิ่มเติม : Honda Civic Coupe ตาโต 2 ประตูหนึ่งเดียวที่คุณควรรีบซื้อตอนนี้ 

เครื่องยนต์ของ Corolla AE110 ยังยกมาจากรุ่นเก่าโฉมสามห่วงทุกประการ โดยเริ่มตั้งแต่รุ่นเบนซิน 1.3-1.5 ลิตร จนถึงในรุ่นท็อปสุดใช้บล็อค 4A-FE แบบเบนซิน 1.6 ลิตร กำลังสูงสุด 110 แรงม้าเท่านั้น ในขณะที่คู่แข่งอย่าง ฮอนด้า ซีวิค ตาโต ใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตรเป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ทำกำลังได้ 120 แรงม้า มากกว่าชัดเจน

ด้วยคุณสมบัติที่ด้อยกว่าคู่แข่งหลายอย่างชัดเจน ทำให้โตโยต้าต้องรีบปรับโฉมขนานใหญ่ทุกสัดส่วน

อ่านเพิ่มเติม : อิทธิพลของ Toyota ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สรุปได้ในรถ 5 รุ่น

ปี 1998 กำเนิด Hi-Torq ยังไม่มี Altis

หลังจากที่ Corolla AE110 ออกขายได้เพียง 2 ปีก็ได้ถูกปรับโฉมครั้งใหญ่ หรือไมเนอร์เชนจ์กลายเป็น Corolla AE111 เปิดตัวในปี 1998 ที่ปรับปรุงหน้าใหม่ เปลี่ยนไฟหน้าเป็นตาเพชร (มัลติรีเฟลคเตอร์) เปลี่ยนไฟเลี้ยวเป็นโคมสีเงินทั้งตัว เปลี่ยนกระจังหน้าเป็นลายเส้นประโครเมียม กันชนหน้า-หลังออกแบบใหม่หมด ให้มีความยาวยื่นออกมามากขึ้น

ไฟท้ายเปลี่ยนทรงให้โค้งมน แบ่งเป็น 2 ชิ้นติดกับฝาท้ายเป็นแนวนอนยาวขึ้น เปลี่ยนทรงฝาท้ายให้มีสันขอบนูนเด่นกว่าเดิม นับว่า Corolla AE111 เป็นการไมเนอร์เชนจ์ที่เปลี่ยนชิ้นส่วนภายนอกเยอะที่สุด เท่าที่ตระกูลโคโรลล่าเคยมีมา

อ่านเพิ่มเติม : Honda Civic EG 3 ประตู มือสองรุ่นเด่นตำนานยอดจอง

ภายในก็ได้แก้ปัญหาคอนโซลทรงเชย ด้วยการยกอะไหล่เดิมทิ้งไป พัฒนาครึ่งบนของคอนโซลใหม่มาใส่แทน ที่แยกชั้นส่วนควบคุมต่าง ๆ ให้ใช้งานง่ายเป็นสัดส่วนมากขึ้น มีความโค้งมนมากขึ้น แต่ครึ่งล่างของคอนโซลยังคงความเหลี่ยมเช่นเดิม ส่วนทรงเบาะเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนลายผ้าใหม่

ขุมพลังของ Corolla AE111 ได้ตัดรุ่น 1.3 และ 1.5 ลิตรออกไป และเพิ่มทางเลือกรุ่นท็อปสุดเพิ่มมาใหม่ เป็นเบนซิน 4 สูบความจุ 1.8 ลิตรเป็นครั้งแรกในตระกูลโคโรลล่าที่ขายในไทย ใช้ชื่อขุมพลังนี้ว่า Hi-Torq โดยต้องการสื่อถึงแรงบิดที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยเป็นบล็อก 7A-FE ที่พัฒนาจากเครื่อง 4A-FE เดิม โดยทำการเปลี่ยนก้านสูบ เพิ่มระยะชัก ทำความจุเพิ่มเป็น 1.8 ลิตร กำลังเพิ่มจากเดิม 110 เป็น 116 แรงม้า ส่วนแรงบิดทำได้เพิ่มจากเดิม 145 เป็น 154 นิวตันเมตร

ในรุ่นท็อปได้ออพชั่นที่ใส่เพิ่มเข้ามาก็มี ถุงลมนิรภัยคู่ (จากเดิมมีเฉพาะคนขับ) และยังได้เบรค ABS ครบทั้ง 4 ล้อแล้ว แม้ด้านหลังยังเป็นดรัมเบรคอยู่ก็ตาม มีกระจกมองข้างปรับและพับเก็บด้วยไฟฟ้าเพิ่มมาอีก พร้อมกระจกไฟฟ้าทั้ง 4 บาน ให้มาเป็นมาตรฐานทุกรุ่น

ชื่อ Altis แปลว่าอะไร ?

แม้ว่า Corolla AE111 เปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่แล้ว แต่ก็ยังตามไม่ทันคู่แข่งอยู่ดี เนื่องจาก ฮอนด้า ซีวิค ตาโต ได้เพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 กำลัง 127 ที่แรงขึ้นไปอีก ทำให้ในปีต่อมา 1999 โตโยต้าได้เปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์อีกครั้ง โดยในรุ่นท็อป 1.8 ใช้ชื่อห้อยท้ายว่า Altis เป็นศัพท์ที่แผลงมาจากคำลาติน Altus ซึ่งแปลว่า ขั้นกว่า เหนือกว่า เพื่อสื่อถึงการเป็นรุ่นที่เหนือกว่ารุ่นย่อยอื่น ๆ สร้างความแตกต่างทางการตลาด

1999 Toyota Corolla Altis ถูกเปลี่ยนลายกระจังหน้าใหม่ เป็นทรงคางหมู ที่มีเส้นโครเมียมแนวตั้งคั่นกลาง พร้อมกับย้ายโลโก้ไปติดไว้บนฝากระโปรงรถ วึ่งลักษณะการจัดวางแบบใหม่นี้ มีใช้อยู่ในรถหรูราคาแพง เป็นการสร้างความแตกต่างจากรุ่น 1.6 ชัดเจน ส่วนล้อแม็กซ์ ก็เปลี่ยนลายใหม่ เป็นก้านคู่ซี่ถี่ แบบที่มีใช้ในรถระดับสูง

อ่านเพิ่มเติม : สงสัยกันไหม ทำไม Toyota Corolla ไทยต้องมี Altis ต่อท้าย?

โครงสร้าง GOA ถูกนำมาโปรโมตในตระกูลโคโรลล่าเป็นครั้งแรก โดยปรับปรุงโครงสร้างเดิมให้เพิ่มชึ้นเหล็กให้ซับแรงและถ่ายแรงกระแทกไปยังพื้นรถและเสาหลังคาหน้า ส่วนด้านข้างรถก็มีชิ้นเหล็กเพิ่มเข้ามารับแรงตรงเสาประตู และกระจายแรงไปยังพื้นรถตรงคานแนวขวาง แน่นอนว่ามีคานเหล็กฝังอยู่ในประตูทุกบานด้วย

ภายในของ 1999 Toyota Corolla Altis ยังได้เปลี่ยนแผงประตูใหม่ ทรงโค้งมนหุ้มด้วยหนัง เช่นเดียวกับเบาะนั่งถูกเพิ่มทางเลือกวัสดุหนังแท้ ที่ต้องเพิ่มเงินอีก 20,000 บาท ทำให้ราคาขายตัวท็อปสุด 1.8 SEG มีราคาขายรวมเบาะหนังอยู่ที่ 814,000 บาท นับเป็นโคโรลล่าที่ทะลุ 8 แสนบาทเป็นครั้งแรกเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม : ถ้าเราบอกว่า Honda Civic FD มือสอง ยังน่าใช้ไม่แพ้ 2021 Civic ของใหม่ คุณจะเชื่อมั้ย ?

2000 Toyota Corolla Altis ไมเนอร์เชนจ์สุดท้าย

ในปี 2000 Toyota Corolla Altis ถูกไมเนอร์เชนจ์เป็นครั้งสุดท้าย โดยมีการเปลี่ยนลายภายในไฟท้าย จากเดิม 3 ชั้นเป็นวงกลมเรียงต่อกัน พร้อมทั้งเพิ่มสเกิร์ตด้านข้าง เพิ่มสปอยเลอร์ฝาท้าย ให้เสาอากาศไฟฟ้า ส่วนภายในเพิ่มลายไม้ให้กรอบคอนโซลตอนล่าง และได้กุญแจรีโมทแล้ว

คนที่สนใจมือสองรุ่นนี้ให้เน้นสภาพตัวถัง ดูว่าโครงสร้างรอยเชื่อมยังเดิมทุกจุด ไม่มีการชนหนักจนโครงสร้างบิดเบี้ยวเสียทรง เครื่องและเกียร์มีประวัติการซ่อมชัดเจน หรืออย่างน้อยก็ไม่มีเสียงดัง หรือกระตุกแรงเกินไป ส่วนชิ้นอื่น ๆ ยังสามารถหาซื้อเปลี่ยนได้ง่าย เอามาบูรณะเหมือนใหม่ได้ ในงบประมาณ 20,000 บาทสำหรับค่าซ่อม เมื่อได้รถมาแล้วให้รีบเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่ง หากไม่ทราบประวัติการซ่อมมาก่อน เพื่อความสบายใจเวลาขับใช้งานประจำวัน นอกจากการดูแลเรื่องของเหลวแล้ว ก็ไม่มีอะไรจุกจิกกวนใจ

Toyota Corolla Altis AE111 ปรับโฉมมาไกลกว่าโฉมแรกเมื่อปี 1996 แต่ก็สายเกินไป เพราะคนในยุคฟองสบู่แตก หันไปซื้อฮอนด้ากันหมดแล้ว ดังนั้นอัลติสเริ่มต้นจากรถที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าคู่แข่ง เป็นบทเรียนให้เกิดการพัฒนาตนเองเป็นเจเนเรชั่น 9 นั่นคือ Corolla Altis ZZE120 หรืออัลติสหน้าหมู ที่โด่งดังเปรี้ยงปร้าง สามารถเอาชนะ ฮอนด้า ซีวิค ได้ในเวลาต่อมา

อ่านเพิ่มเติม: เจาะเวลากับบอริส ย้อนประวัติ Toyota Corolla ขวัญใจประชา มาได้ยังไง?