Toyota (โตโยต้า) ประกาศแผนการพัฒนาและจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าครั้งมโหฬาร เผยโฉมรถต้นแบบ 16 รุ่นในเกือบทุกเซกเมนท์ จ่อวางขาย 30 รุ่นภายใน 8 ปีข้างหน้า พร้อมอัดฉีดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 8 ล้านล้านเยน
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ Toyota เพิ่งถูกมองว่าเป็นตัวถ่วงในอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มตัว พวกเขาเน้นย้ำหลายครั้งว่าให้ความสำคัญกับระบบไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดมากกว่า
แต่ล่าสุด อากิโอะ โตโยดะ ประธานกรรมการ Toyota เป็นผู้นำการแถลงข่าวสั่นสะเทือนวงการยานยนต์โลกด้วยการเผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต้นแบบ 15 รุ่นภายใต้แบรนด์ Toyota และ Lexus (เลกซัส) ก่อนจะเริ่มขายรุ่นแรกภายในปีหน้าเริ่มต้นที่รถเอสยูวี Toyota bZ4X
เป้าหมายยอดขายรถอีวี 3.5 ล้านคันในอีก 8 ปี!
รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต้นแบบที่ถูกเผยโฉมทั้ง 15 รุ่นเป็นเพียง “ลูกคลื่นระลอกแรก” ของเป้าหมายการสร้างรถยนต์ที่มีมลพิษเป็นศูนย์ หลังจากนี้ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นมีแผนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งสิ้นถึง 30 รุ่นภายในปี 2030 โดยมีทั้งรถยนต์นั่ง รถเอสยูวี และรถเพื่อการพาณิชย์
โตโยดะ ประกาศลั่นว่า ด้วยการเปิดตัวรถอีวีทั้งหมดนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้สูงถึง 3.5 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030
รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจของแบรนด์ Lexus จะเริ่มต้นด้วยรถเอสยูวีตระกูล RZ ที่จะกำหนดทิศทางใหม่ของแบรนด์รถยนต์พรีเมียม ตามมาด้วยรถสปอร์ตคูเป้ที่จะมีอัตราเร่ง 0-100 กม.ต่อชม. ภายในเวลาไม่ถึง 2 วินาที นอกจากนี้ยังมีรถสปอร์ตซีดานและรถเอสยูวีขนาดใหญ่ เกือบทั้งหมดจะมีระยะทางขับขี่ไกลกว่า 700 กม.ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง
ขณะที่ Toyota จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าตระกูล bZ หรือ Bryond Zero มีทั้งรถครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก รถเอสยูวีขนาดคอมแพ็กต์ มิดไซส์ และฟูลไซส์ รถยนต์ซีดาน รวมถึงรถกระบะที่มีรูปลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง และรถเอสยูวีหน้าตาหวือหวาแหวกแนวคล้ายกับ FJ Cruiser อีกด้วย
สำหรับเป้าหมายยอดขาย 3.5 ล้านคันนั้นจะแบ่งเป็นของ Lexus สัดส่วน 1 ล้านคัน ตลาดหลักอยู่ในอเมริกาเหนือ ยุโรป และจีน พร้อมกับมีเป้าหมายการเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าล้วนภายในปี 2035
ส่วนยอดขายที่เหลืออีก 2.5 ล้านคันจะเป็นของ Toyota ที่มุ่งทำตลาดครอบคลุมทุกมุมโลก โดยเน้นไปที่ตลาดใหญ่เหมือนกับ Lexus ด้วยเช่นกัน
ตัวเลขเงินลงทุนที่สูงถึง 8 ล้านล้านเยนหรือประมาณ 2 ล้านล้านบาทจะถูกแบ่งออกเป็นการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ราว 4 ล้านล้านเยน ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจะทุ่มไปกับการต่อยอดรถยนต์ไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริด และฟิวเซล
นั่นหมายความว่า Toyota ยังจะให้ความสำคัญกับความหลากหลายของระบบขับเคลื่อนโดยมีเป้าหมายสูงสุดคือความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ในอนาคตระยะยาว
“สถานการณ์ด้านพลังงานมีความแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค นี่คือสิ่งที่ Toyota เล็งเห็นและมีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอความหลากหลายของระบบขับเคลื่อนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและสถานการณ์ในแต่ละประเทศ การตัดสินใจเลือกระบบขับเคลื่อนที่ดีที่สุดไม่ใช่เรา แต่เป็นลูกค้าในแต่ละตลาด” โตโยดะ กล่าว
หัวเรือใหญ่ Toyota เปิดเผยด้วยว่า บริษัทฯ ยังมีแผนการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยวางเป้าหมายสร้างสถานีชาร์จไฟ 2,900 แห่งในยุโรป 1,700 แห่งในจีน และอีก 5,000 แห่งในตลาดบ้านเกิดอย่างประเทศญี่ปุ่น