วิศวกร Honda สาธิตการใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติใน Honda Legend
ระบบขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Drive) คือเทคโนโลยียุคใหม่ที่ตีคู่มากับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ว่ากันว่าทั้งสองนวัตกรรมจะประกอบร่างเป็นยานพาหนะแห่งอนาคต
เมื่อไม่นานมานี้ Honda เพิ่งเปิดตัว 2021 Honda Legend (2021 ฮอนด้า เลเจนด์ ) ใหม่ที่มาพร้อมระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 เป็นครั้งแรกในโลก ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีบริษัทรถยนต์รายใดทำได้มาก่อนแม้แต่ Tesla (เทสล่า) ที่นำเสนอระบบขับขี่ Autopilot ก็ยังเป็นรองเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น
สมาคมวิศวกรยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกาหรือ Society of Automotive Engineers (SAE) เป็นผู้คิดค้นระดับของระบบขับขี่อัตโนมัติขึ้นมาเพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลและเป็นแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทรถยนต์ทุกรายทั่วโลก
ระดับของรถขับขี่อัตโนมัติ กำหนดโดยสมาคมวิศวกรยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา
แล้ว “ระดับ” หรือ “Level” ในระบบขับขี่อัตโนมัติมีอะไรบ้าง เราไปชมคำอธิบายกัน
ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 1 หรือ Level 1
หากไม่นับระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 0 หรือรถยนต์ที่ไม่มีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่เลย การกำหนดระดับของเทคโนโลยีจะเริ่มต้นที่ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 1 ผู้ขับขี่จะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการควบคุมรถ โดยมีระบบช่วยเหลือเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจเป็นระบบครูสคอนโทรลแบบแปรผันที่จะช่วยรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้าอย่างปลอดภัยหรือระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลนช่วยป้องกันรถเฉออกนอกเลนไปชนปะทะกับรถคันอื่น
ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 2 หรือ Level 2
หากรถยนต์คันใดมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (ADAS) หลายระบบทำงานประสานกัน ไม่ว่าจะเป็นครูสคอนโทรลแบบแปรผัน ระบบแจ้งเตือนรถออกนอกเลนและระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน จะถือว่ารถยนต์คันนั้นมีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 2 ทำให้ตัวรถสามารถเร่ง เบรก และเลี้ยวได้เองในบางสถานการณ์ขับขี่ แต่ผู้ขับขี่ยังต้องประคองพวงมาลัยพร้อมกับมองถนนข้างหน้าเพื่อเฝ้าระวังตลอดเวลา
ปัจจุบัน รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ถูกใช้งานอยู่ในปัจจุบันมีระบบขับขี่อัตโนมัติอยู่ในระดับที่ 2 แม้แต่ระบบ Autopilot อันโด่งดังของ Tesla (เทสล่า ) ประโยชน์สำคัญคือการช่วยผ่อนคลายความเครียดและเมื่อยล้าในขณะขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อการจราจรไหลแบบเอื่อย ๆ หรือการขับทางไกล
ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 3 หรือ Level 3
ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 3 คือการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ผู้เชี่ยวชาญบางรายให้คำนิยามว่าเป็น “ระบบขับขี่อัตโนมัติในบางสถานการณ์” ระบบนี้จะใช้เทคโนโลยีแผนที่ เรดาร์ และเซ็นเซอร์ตรวจจับสถานการณ์เบื้องหน้า ก่อนที่จะควบคุมตัวรถให้เคลื่อนที่ เร่งแซง และเลี้ยวไปตามทางได้เอง
ตามที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าระบบนี้ถูกติดตั้งเป็นครั้งแรกในโลกในรถซีดานพรีเมียมอย่าง Legend ใหม่ ซึ่งทาง Honda ระบุว่าผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัยและมองถนนข้างหน้า จึงสามารถอ่านหนังสือหรือทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทางได้ แต่ต้องสามารถเข้ามาควบคุมตัวรถได้ตลอดเวลาหากมีความจำเป็น
ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นระบุด้วยว่าระบบนี้สามารถใช้ได้บนถนนไฮเวย์หรือทางด่วนเท่านั้นเนื่องจากไม่มีรถจักรยานยนต์หรือคนเดินถนนที่อาจตัดหน้าทำให้เกิดอันตราย ขณะเดียวกัน ระบบนี้จะสั่งการให้ตัวรถเคลื่อนเข้าจอดข้างทางทันทีหากผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถแทนระบบอัตโนมัติในกรณีที่เกิดเหตุไม่ปกติ
ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 4 หรือ Level 4
ถือเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติระดับสูงมาก มีการสื่อสารระหว่างรถยนต์กับรถยนต์ (car-to-car communications) และระหว่างรถยนต์กับโครงสร้างพื้นฐาน (car-to-infrastucture communications) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความแม่นยำในการตรวจจับสถานการณ์บนถนน จึงสามารถใช้งานบนถนนทั่วไปได้และไม่จำกัดเฉพาะบนไฮเวย์เท่านั้นแต่จะต้องเป็นเส้นทางที่กำหนดไว้ล้วงหน้า ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 4 จึงถูกมองว่าจะเป็นเทคโนโลยีสำคัญสำหรับบริการไรด์แชริ่งหรือรถแท็กซี่ไร้คนขับในอนาคต
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 4 จะช่วยให้ตัวรถเคลื่อนที่ไปโดยไม่ต้องมีคนขับ แต่ยังต้องมีพวงมาลัยและแป้นเบรก-คันเร่งเพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าควบคุมได้หากต้องการขับเองหรือกรณีที่เกิดเหตุร้ายแรงจริง ๆ อย่างภัยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม หากคนไม่สามารถคุมตัวรถแทนระบบได้ ตัวรถก็จะถูกสั่งการให้จอดข้างทางโดยอัตโนมัติเช่นกัน
ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 5 หรือ Level 5
คือรถไร้คนขับที่ใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อไป ผู้ขับขี่กลายเป็นผู้โดยสารอย่างเต็มตัว ห้องโดยสารปราศจากพวงมาลัยและแป้นเหยียบ เราสามารถนอนหลับหรือนั่งเอนหลังพักผ่อนนับตั้งแต่เริ่มต้นออกเดินทางไปจนถึงจุดหมายได้อย่างสบายอารมณ์
สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องทำเมื่อเข้ามานั่งโดยสารในรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 5 ก็คือการจิ้มหน้าจอกำหนดสถานที่ปลายทางที่ต้องการจะไป แล้วปล่อยให้ตัวรถขับเคลื่อนอย่างปลอดภัย
การพัฒนาสู่ขั้นสูงสุดยากเย็นแสนเข็ญ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การใช้งานรถไร้คนขับที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 5 นั้นเป็นเรื่องยากราวกับสกัดภูเขาทั้งลูกด้วยเสียมด้ามเดียว เพราะไม่เพียงขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการกำหนดกฎหมายรองรับ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมที่ล้ำสมัยด้วย นั่นหมายความว่าประเทศเศรษฐกิจใหม่อย่างเมืองไทยแทบมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
หลายบริษัทรถยนต์พยายามตั้งเป้าหมายกรอบเวลาการใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าระบบนี้จะถูกใช้งานร่วมกันรถยนต์ไฟฟ้า ช่วยสร้างสรรค์สังคมที่ปราศจากมลพิษและมีอุบัติเหตุเป็นศูนย์ แต่กว่าจะถึงวันนั้นต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถบอกได้