สื่ออินโดนีเซียตีข่าว Toyota กำลังให้ความสนใจอย่างมากในการผลิตรถพลังไฟฟ้าในประเทศ โดยมีแผนการแนะนำผลิตภัณฑ์อีวีถึง 10 รุ่นภายในปี 2025
เมื่อปีที่แล้ว Toyota ประกาศว่าจะทุ่มเงินลงทุนด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาทในการก่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่และรถพลังงานไฟฟ้าในแดนอิเหนา ล่าสุดผู้บริหารระดับสูงออกมาเน้นย้ำในทิศทางเดียวกันอีกครั้ง
“Toyota มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมเมื่อได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอินโดนีเซียในด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อลดมลพิษและลดการนำเข้ารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน” โยอิชิ มิยาซากิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาคเอเชียของ Toyota กล่าวระหว่างการประชุมทางไกลร่วมกับเออร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
ทำไมอินโดนีเซียจึงดึงดูดบริษัทรถยนต์?
อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของหลายบริษัทรถยนต์ที่ต้องการผลิตรถพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากเป็นประเทศที่มีแร่ธาตุนิกเกิลอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกซึ่งจำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน
Jakarta Globe สื่อยักษ์ใหญ่อินโดนีเซียรายงานว่า Toyota วางแผนนำเสนอรถพลังงานไฟฟ้า 10 รุ่นในอินโดนีเซียภายในอีก 5 ปีข้างหน้า และต้องการให้อินโดนีเซียเป็น “ฮับ” ศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถพลังงานไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจาก Toyota บริษัทผู้พัฒนาแบตเตอรี่ระดับโลกอย่าง CATL ก็มีแผนการลงทุนด้วยเม็ดเงินถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาทเพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซียเช่นกัน โดยมีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตภายในปี 2024
ขณะเดียวกัน Tesla ยังเคยตกเป็นข่าวว่ากำลังหารือกับรัฐบาลอินโดนีเซียเพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ "กิกะแฟคตอรี่" แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เป้าหมายของอินโดนีเซีย?
ก่อนการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 รัฐบาลอินโดนีเซียกำหนดเป้าหมายไว้ว่า 20% ของการผลิตรถยนต์ใหม่ทั้งหมดภายในปี 2025 จะต้องเป็นรถพลังงานไฟฟ้าและรถไฮบริด อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการปรับปรุงกรอบเวลาใหม่เนื่องจากได้รับผลกระทบจากไวรัส
อาริฟิน ทาสริฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติของอินโดนีเซียคาดการณ์ว่า ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศจะลดลง 283,000 ตันถ้าสามารถดำเนินการผลิตรถพลังงานทางเลือกได้ตามเป้าหมายภายในปี 2525
“การใช้รถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นจะทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นตามไปด้วยและนำพารัฐบาลไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับความมุ่งมั่นที่มีต่อข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่จะลดก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 40% ภายในปี 2030 แต่เราต้องทำงานอย่างหนักร่วมกันทุกฝ่ายเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายดังกล่าว” ทาสริฟ กล่าวเพิ่มเติม
แล้วเมืองไทยมีความคืบหน้าอย่างไร
ล่าสุด กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังได้ร่อนจดหมายเชิญบริษัทรถยนต์กว่า 20 รายเข้าร่วมหารือกันในช่วงต้นปีหน้า เพื่อแสวงหาหนทางการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีรายงานว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราภาษีรถเครื่องยนต์สันดาปภายในเพื่อกระตุ้นให้บริษัทรถยนต์หันมาผลิตรถพลังงานไฟฟ้าและไฮบริดมากขึ้น โดยอัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2568
อย่างไรก็ตาม บริษัทรถยนต์หลายรายอาจเรียกร้องให้รัฐบาลหามาตรการอื่นนอกเหนือจากการด้านภาษีด้วย โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาใช้รถพลังงานทางเลือกด้วยการขยายจุดชาร์จไฟฟ้าไปพร้อมกันด้วย
ขณะเดียวกัน เมื่ออินโดนีเซียเริ่มผลิตรถพลังงานไฟฟ้าเต็มกำลัง คาดว่ารถบางรุ่นจะถูกส่งออกมาจำหน่ายในประเทศไทยด้วย ส่วนเมืองไทยจะได้เป็นฝ่ายส่งออกรถอีวีไปยังต่างประเทศได้หรือไม่นั้น คงต้องรอติดตามกันต่อไปยาว ๆ
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });