- ในไทยจะไม่มีทั้งไฟฟ้าและเครื่องยนต์วี6
- สินค้าอย่างเอเวอเรสต์และแร็พเตอร์จะตามมาหรือไม่
- โรงงานที่ลงทุนเพิ่มไปจะมีการปรับบทบาทอย่างไร
- ความสำคัญของโรงงานเอเอทีและเอฟทีเอ็ม
- จะจัดการรถปิกอัพรุ่นปัจจุบันอย่างไรดี
Ford (ฟอร์ด) ประกาศลงทุนเพิ่มในประเทศไทยอีก 2.8 หมื่นล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถปิกอัพอย่าง Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) และพีพีวีอย่าง Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) ในปี 2565 ตามที่มีรายงานข่าวไปก่อนหน้านี้
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในฐานการผลิตที่สำคัญของฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี โดยค่ายรถยักษ์ใหญ่จากอเมริกามีการลงทุนไปแล้วมากกว่า 1 แสนล้านบาทในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา และมีโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 1 แสนคันอยู่ถึง 2 แห่ง
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
นอกเหนือจากการเป็นฐานการผลิตเพื่อทำตลาดในประเทศและการส่งออกไปมากกว่า 100 ประเทศ ฟอร์ดยังได้ประกาศให้ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบในการผลิตรถปิกอัพทั่วโลก เป็นแม่แบบของโรงงานผลิตทั้ง 5 แห่งที่กระจายตัวกันทั่วโลก
วิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดเผยว่า ฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ผลิตที่โรงงานในประเทศไทย พร้อมที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 2565 นี้ ซึ่งผลผลิตที่โรงงานทั้ง 2 แห่งของไทยจะมีการส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดของตัวรถมากขึ้น โดยมีการระบุว่าฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ทำตลาดในประเทศไทย จะไม่มีเครื่องยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ดีเซล วี6 3.0 ลิตรก็จะไม่จำหน่าย แม้จะมีการผลิตในประเทศก็ตาม
ไม่คุ้มกับค่าตัวที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับวี6
"นอกจากมองว่าเครื่องยนต์ 2.0 ไบเทอร์โบที่ทำตลาดอยู่ดีอยู่แล้ว การที่เราจะทำตลาดเครื่องยนต์วี6 ก็ต้องมองว่าจะต้องเสียภาษีมากขึ้น จากแรงม้าและการปล่อยมลพิษ ทำให้ลูกค้าอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 3 แสนบาท ซึ่งไม่คุ้มค่า" และวิชิตยังระบุว่าในอนาคตอาจจะมีทางเลือกอื่น ๆ ที่ให้พละกำลังมากกว่า แต่มีความคุ้มค่ามากกว่า ซึ่ง AutoFun Thailand ก็ไม่แน่ใจว่าจะหมายถึงเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่มีข่าวลือหรือไม่ เนื่องจากยืนยันแล้วว่าจะไม่มีเวอร์ชั่นไฟฟ้าในเรนเจอร์เจนเนอเรชั่นนี้
เอเวอเรสต์และแร็พเตอร์จ่อคิวเปิดตัวตามมา
แน่นนอนว่าเมื่อมีการผลิตฟอร์ด เรนเจอร์ ในประเทศไทย สินค้าที่ใช้พื้นฐานเดียวกันอย่างฟอร์ด เอเวอเรสต์ และ Ford Ranger Raptor (ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์) ก็จะต้องเผยโฉมตามกันออกมาในอนาคตด้วย แต่ยังไม่มีกำหนดเวลาอย่างเป็นทางการ แต่วิชิตระบุว่าในปีหน้าจะเป็นปีที่ดีของฟอร์ด จะมีความตื่นเต้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคืออาจจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น 2-3 ครั้งตลอดทั้งปี นั่นก็น่าจะเป็นจำนวนสินค้าใหม่ที่จะเปิดตัวทั้งปีพอดี
เมื่อเอฟทีเอ็มสามารถผลิตกระบะได้ครบทุกรุ่น
การลงทุนกว่า 2.8 หมื่นล้านบาทของฟอร์ด ทำให้โรงงานเอฟทีเอ็มมีความสามารถในการผลิตกระบะได้ทุกรูปแบบตัวถัง เพิ่มจากเดิมที่ทำได้เพียงรุ่น 4 ประตู ฟอร์ดระบุว่ากำลังการผลิตของเอเอทีนั้นเต็มที่และไม่สามารถเพิ่มได้แล้ว แต่ก็คาดหวังว่าเรนเจอร์ใหม่จะมียอดจำหน่ายเพิ่มกว่าเดิม ทำให้ต้องปรับแผนมาใช้งานโรงงานเอฟทีเอ็มมากขึ้น และทำให้กำลังการผลิตรวมของฟอร์ดในประเทศไทย เพิ่มเป็น 2.7 แสนคันต่อปีหลังการลงทุน
โรงงานทั้ง 2 แห่งต่างก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
"ถ้าคุณเห็นเอเวอเรสต์วิ่งที่ไหนทั่วโลก บอกได้เลยว่ารถคันนี้ผลิตที่เอเอที" วิชิตยืนยันความสำคัณของโรงงานร่วมทุนในประเทศไทย หลังจากที่อินเดียเลิกการผลิตไปแล้ว ทำให้โรงงานแห่งนี้ส่งออกพีพีวีไปจำหน่ายทั่วโลก ขณะที่โรงงานเอฟเอ็มทีนั้น จะมีบทบาทด้านการผลิตรถปิกอัพมากขึ้น และเป็น 1 ใน 5 โรงงานที่ผลิตรถกระบะของฟอร์ด ร่วมกับแอฟริกาใต้ อาร์เจนติน่า อเมริกาและเวียดนาม ซึ่งโรงงานหลังสุดจะเป็นการซีเคดีด้วยชิ้นส่วนจากไทย โดยกว่า 60% ของการผลิตเรนเจอร์ในประเทศไทยจะเป็นการส่งออกไปมากกว่า 100 ประเทศ
ยอดขายฟอร์ดรุ่นปัจจุบันดีขึ้น ไม่เร่งแคมเปญ
วิชิตกล่าวว่าการเติบโตของฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นปัจจุบันยังดีอยู่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เพิ่มความดุเดือดของโปรโมชั่นการขาย แต่มองว่าลูกค้าหลายคนเชื่อมั่นว่าเป็นสินค้าที่คุ้มค่าที่สุด และแน่นอนว่าลูกค้าบางคนก็รอรถรุ่นใหม่มาเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ฟอร์ดมองว่าตลาดรถยนต์ในปี 2565 น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้ ที่น่าจะปิดตัวเลขการขายที่ระดับ 7.5-7.6 แสนคัน โดยน่าจะเติบโตมากกว่า 10% หรือมียอดขายประมาณ 8.6-8.7 แสนคัน จากการเติบโตของเศรษฐกิจและการเปิดประเทศ
ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่สามารถคาดการณ์ผลกระทบของโควิด-19 ได้ แต่เชื่อว่าที่ผ่านมามีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง และฟอร์ดมั่นใจว่าจะรักษายอดจำหน่ายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการทำตลาดไปถึงวันเปิดตัวรถรุ่นใหม่แน่นอน
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });