ระบบขับอัตโนมัติในรถยนต์ มักจะเป็นจำเลยหลายครั้งในคดีอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถ Tesla (เทสล่า) ที่มีคุณสมบัติตรวจจับได้มากมาย จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษเมื่อเกิดเหตุชนกันขึ้นมา ผู้คนต่างโทษว่าระบบรุ่นนี้ทำไม่ดี แต่ความจริง ไม่ใช่เพราะเทสล่ายี่ห้อเดียวเท่านั้น ยังมีรถแทบทุกยี่ห้อที่ติดตั้งระบบไร้คนขับอย่างนี้ ก็เกิดเหตุได้เช่นกัน มาดูตัวอย่างของกรณีรถจีนรายนี้
บนทางด่วนขาเข้าเมืองปักกิ่งเส้นนึง มีรถยนต์ไฟฟ้าชื่อ Xpeng P7 (เอกซ์เพ็ง พี7) เปิดการใช้งานระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติ NGP (Navigation Guided Pilot) จอดพังยับด้านหน้ารถ ทั้งกันชน ฝากระโปรง แผงแอร์ จนถึงโครงสร้างด้านหน้าต่าง ๆ ย่นยู่เข้าไป แต่ยังไม่ถึงห้องโดยสาร ทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนัก
ทดสอบระบบมาหนักแล้ว
Xpeng P7 เป็นรถยนต์นั่งรุ่นที่ 2 ของค่าย เป็นคู่แข่งของ Tesla Model 3 (เทสล่า โมเดล 3) ที่เรียกเสียงฮือฮาจากการทดสอบระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติบนถนนจริงและทำสถิติดีที่สุดเอาไว้ ด้วยการทดสอบระบบดังกล่าว เป็นระยะเวลายาวและนานที่สุด เท่าที่เคยทดลองกันในประเทศจีน โดยกินเวลายาวนานถึง 8 วัน
เส้นทางทดสอบจากกวางโจวไปยังปักกิ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องวิ่งผ่านทางหลวงขวั่กไขว่และวุ่นวายที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน ผลพบว่าสามารถสร้างสถิติขับเคลื่อนอัตโนมัติ ต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์เพียง 0.71 ครั้งต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร
สาเหตุของการชน
สาเหตของอุบัติเหตุนี้เกิดจาก ตอนที่รถ Xpeng P7 วิ่งอยู่บนทางหลวงด้วยระบบขับอัตโนมัติ ได้มีรถพ่วงที่ไม่มีของบรรทุกอยู่ด้านหลัง ทำให้พื้นรถพ่วงนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับที่เรดาร์และกล้องจะตรวจจับระยะห่างได้ ทำให้เมื่อรถเข้าไปปะทะกับท้ายรถพ่วงนัั้นเต็ม ๆ อย่างไม่มีเบรค เพราะคนขับไม่ได้เข้ามาควบคุมได้ทันเวลา
เมื่อดูคลิปวิดีโอจากกล้องหน้ารถ พบว่ารถยนต์ไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วสูงจนเกินไป เมื่อรถวิ่งมาก่อนปะทะกับรถพ่วงเปล่า ได้มีเสียงเดือนการชนด้านหน้าดังขึ้นแปบเดียว และไม่มีการเบรคช่วยอัตโนมัติ รถจึงปะทะกับพวงหลังอย่างเต็ม ๆ
เตรียมตัวใส่ Lidar
ในอนาคต Xpeng P7 เตรียมตัวใส่เทคโนโลยี Lidar ที่เทสล่าบอกว่าแพงเกินกว่าจะใส่ในรถที่จำหน่ายจริงได้ เพื่อให้เป็นรถไฟฟ้าขับอัตโนมัติที่ไว้ใจได้มากสุด ไลดาร์ คือเทคโนโลยีการใช้เลเซอร์ที่มีระยะทางที่แตกต่างกันออกไปในการคำนวนและช่วยเหลือควบคุมรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งการนำมาใช้นี้ เป็นผลงานการพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับรถยนต์แห่งโลกอนาคต
ทดสอบมาแล้วก็ยังพลาด
ในสถาณการณ์จริงนี้ การที่มีพ่วงหลังอยู่ในระดับต่ำแบบนี้ นอกจากยากที่จะมองเห็นด้วยระบบเรดาร์แล้ว ยังอาจจะมองไม่เห็นด้วยระบบกล้องอีกด้วย เพราะความแบนราบและสะท้อนแสงแดดที่เป็นระนาบเดียวกับพื้นถนน
อีกทั้งมีตู้สัมภาระคลุมผ้าใบขนาดใหญ่ ที่โดดเด่นแย่งความสนใจจากลูกพ่วงที่แบนราบนี้ ซึ่งดูในกล้องหน้ารถแล้วก็ยังคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าเป็นสายตามนุษย์นั้น หรือแม้กระทั่ง Lidar แบบใหม่ล่าสุดนี้ จะสามารถตรวจจับได้ทันเวลาหรือไม่
อ่านเพิ่มเติม : Xpeng P7 รถไฟฟ้าขับอัตโนมัติที่ไว้ใจได้มากสุด การทดสอบและการพัฒนาเพื่อคว่ำ Tesla ในตลาดโลก
นี่อาจจะเป็นตัวอย่างที่อธิบายได้ว่า ทำไมค่ายรถใหญ่อย่าง Toyota (โตโยต้า) แสดงความวิตกกังวลในการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ เพราะรถยนต์ไร้คนขับของยี่ห้อนี้ ก็เคยชนคนมาแล้วที่ความเร็วต่ำมาก โดย Toyota ทำการป้องกันไม่ให้เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นอีก โดยเพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำรถแต่ละคัน และเพิ่มเจ้าหน้าที่จัดการจราจรในพื้นที่ให้บริการ
“ผมไม่คิดว่าระบบขับขี่อัตโนมัติจะสามารถใช้งานได้จริงบนถนนทั่วไป” อากิโอะ โตโยดะ ประธานบริษัทโตโยต้ากล่าวยืนยันชัดเจน
ถึงแม้จะมีระบบช่วยขับขี่มากแค่ไหน คนขับก็ยังต้องมีสมาธิอยู่กับถนนและพร้อมที่จะควบคุมตัวรถได้ตลอดเวลา ทั้งการจับพวงมาลัยและวางเท้ารอเหยียบเบรค พร้อมสายตาจับจ้องถนนตลอดการเดินทาง เพื่อลดความสูญเสีย จากชนหนักเป็นเบา หรือจากชนเบาเป็นไม่เกิดการชนอะไรเลยก็ได้
อ่านเพิ่มเติม : แข่งไปเพื่ออะไร? ซีอีโอ Toyota ยืนยันไม่ร่วมพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ