- การกลับมาสู่การเป็นผู้นำเทคโนโลยีปิกอัพ
- ออพชั่นใหม่ติดตั้งครั้งแรกในรถกระบะในไทย
- การปรับจูนเครื่องและเกียร์ที่สมูทขึ้นกว่าเดิม
- โช๊คอัพแบบโมโนทูปและดิสก์เบรกสี่ล้อ
- แต่ก็มีของขาดหายไปหลายรายการนะ
2022 Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา พร้อมทางเลือกรุ่นย่อยที่ไม่มากนัก แต่ตัวท็อปก็ยังเป็นเวอร์ชั่นไวล์ดแทร็ค ที่มาพร้อมอุปกรณ์และออพชั่นที่ครบครันที่สุดกับค่าตัว 1.299 ล้านบาท แพงที่สุดในคลาส
นอกเหนือจากราคาจำหน่ายที่แพงที่สุดแล้ว เรนเจอร์ ใหม่นี้ ยังมาพร้อมอุปกรณ์และออพชั่นใหม่ ๆ มากมาย ที่หลายตัวเป็นการแนะนำระบบเป็นครั้งแรกของตลาดรถกระบะด้วยซ้ำ ไม่นับรวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านรูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในที่จัดมาอย่างเต็มที่
AutoFun Thailand ได้รับเชิญเข้าร่วมการทดสอบรถยนต์รุ่นนี้ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ แม้จะมีเวลาสั้น ๆ กับรถที่มีรายละเอียดอย่างมาก แต่ก็พอจะทำให้เรารู้จักกับรถคันนี้มากขึ้น และเชื่อว่าจะครองความเป็นตัวท็อปของคลาสรถกระบะในประเทศไทยต่อไปได้เหมือนเดิม
และนี่คือบทสรุปที่น่าสนใจเกี่ยวกับไวล์ดแทร็คตัวท็อปคันนี้!!!
ออพชั่นจัดเต็มครั้งแรกของรถกระบะในประเทศไทย
ฟอร์ด เรนเจอร์ นั้นเป็นผู้นำในตลาดเทคโนโลยีใหม่สำหรับรถกระบะในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และในไวล์ดแทร็คตัวท็อปก็มาพร้อมระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่เป็นครั้งแรกของตลาด ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมฟังชั่นส์ Stop and Go ที่ทำให้ควบคุมรถได้อย่างง่ายดาย พร้อมระบบไฟสูงอัตโนมัติแบบป้องกันแสงสะท้อนเป็นครั้งแรกของคลาสเช่นกัน ขณะเดียวกัน ก็มีการติดตั้งระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ที่ผสานระบบตรวจจับขอบถนน เป็นครั้งแรกของเรนเจอร์เช่นกัน
แพลตฟอร์มเดิม เครื่องเดิม แต่จูนให้สมูทขึ้น
ทีมงานของฟอร์ดระบุว่าเรนเจอร์ใหม่นั้น พัฒนาขึ้นมาบนแพลตฟอร์มที6 เจนเนอเรชั่น 3 พร้อมใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดลูกเดิม ที่แม้จะแรงม้าหายไป 3 ตัวเหลือ 210 แรงม้า แต่แรงบิดยังอยู่ที่ 500 นิวตันเมตรเหมือนเดิม และยังได้รับการจูนระบบใหม่ เพื่อให้เกิดความไหลลื่นของการส่งกำลังเครื่องยนต์ที่ดีที่สุด ผลที่ได้ก็คือ การตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ไหลลื่นตั้งแต่รอบต่ำไปจนถึงรอบสูง และเกียร์ที่ส่งกำลังอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นรถกระบะที่ขับสนุกตั้งแต่ออกตัวไปจนถึงความเร็วระดับ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบาย
โช๊คอัพหลังโมโนทูป นุ่มขึ้น ดิสก์เบรกหนึบทันใจ
ฟอร์ดทำการปรับเปลี่ยนโช๊คอัพด้านหลังใหม่เป็นแบบโมโนทูป พร้อมสลับตำแหน่งของแหนบและโช๊คอัพด้านหลัง เพื่อเพิ่มนุ่มนวลในการโดยสาร ผลที่ได้ก็คือตัวรถที่ให้อากาศที่นุ่มนวลขึ้นทั้งบนถนนและในเส้นทางออฟโรด อาการโยนตัวของรถที่ลดลงไปจากเดิม พร้อมเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่ให้อาการเบรกที่ว่องไว โดยเฉพาะเมื่อเบรกอย่างฉุกเฉิน ทำให้อาจจะต้องทำความคุ้นเคยกับรถ เพื่อให้สามารถกะระยะเบรกในรถคันนี้ให้ได้อย่างที่ต้องการ โดยรวมความแล้วถือเป็นรถที่ให้ความมั่นใจในการขับขี่เป็นอย่างมาก
ระบบการขับขี่ 6 รูปแบบที่ปรับเองได้อย่างชาญฉลาด
เรนเจอร์ใหม่ได้รับการติดตั้งโหมดการขับขี่ 6 รูปแบบเป็นครั้งแรกของรุ่นนี้ โดยได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นพี่ เพื่อให้สามารถใช้งานรถคันนี้ในระบบออฟโรดได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องคิดเองว่าจะใช้ 4H หรือ 4L ต้องเปิดดิฟฟ์ล็อกหลังหรือไม่ เพียงแค่เลือกโหมดที่เราต้องการ เช่น โคลน พื้นลื่น หรือทราย รถก็จะปรับทุกอย่างที่ต้องการให้ทันที รวมถึงยังมีระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชันอัตโนมัติ และกล้อง 360 องศา ที่ติดทันทีที่เข้า 4L เพิ่มความสะดวกสบาย และทำให้สามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ในการขับขี่ได้อย่างง่ายดาย
กระบะหลังที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานจริง
ฟอร์ดคำนึงถึงการใช้งานรถคันนี้อย่างเต็มรูปแบบ โดยในรุ่นไวล์ดแทร็คจะมาพร้อมกระบะหลังแบบเอนกประสงค์ ที่มาพร้อมความคิดในการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไลน์เนอร์ที่รองรับการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม ช่องล็อก 3 จุดที่ทำให้สามารถติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาได้ รวมไปถึงที่ชาร์จไฟท้ายรถ ที่มีทั้งแบบแป้นเสียบแบบแบนและช่องต่อแบบที่จุดบุหรี่ ที่ทำให้ใช้งานอุปกรณ์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นตู้แช่เย็น หรือที่ชงกาแฟ ที่ด้านท้ายของตัวรถได้เลย ไม่ต้องเสียบสายยาว ๆ ออกมาจากตอนหลังของรถเหมือนในรุ่นก่อนหน้านี้
หน้าจอกลางขนาดใหญ่ และหน้าจอแสดงผลดิจิตอล
จุดที่ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่างสำหรับฟอร์ด เรนเจอร์ ไวล์ดแทร็ค ก็คือห้องโดยสารที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสวยงาม มาพร้อมหน้าจอขนาด 12 นิ้วแนวตั้ง ที่แบ่งโซนการทำงานของหน้าจอ รองรับการเชื่อมต่อแอปเปิลคาร์เพลย์แบบไร้สายและแอนดรอยด์ออโต้ รวมถึงโซนการควบคุมฟังชั่นส์อื่น ๆ มาพร้อมไวร์เลสชาร์จเจอร์สำหรับมือถือขนาดไม่ใหญ่เกินไป เบาะที่นั่งคู่หน้าแบบปรับไฟฟ้า ขณะที่หน้าจอแสดงผลด้านหลังพวงมาลัยเป็นแบบดิจิตอลที่แสดงผลได้หลากหลายรูปแบบ และสามารถควบคุมทั้งหมดได้จากบนพวงมาลัยหรือผ่านการสัมผัสหน้าจออย่างง่ายดาย
เอาใจไลฟ์สไตล์และการใช้งานที่หลากหลาย
ฟอร์ดได้พัฒนารถคันนี้ให้มีความหลากหลายต่อการใช้งานของผู้บริโภคมากที่สุด การปรับเบาะที่นั่งตอนหลังให้มีความลาดเอนมากกว่าเดิม เพิ่มความสบายในการเดินทางไกล พร้อมด้วยติดตั้งช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ขณะที่ด้านหลังมาพร้อมช่องชาร์จไฟแบบเสียบปลั๊ก พร้อมยูเอสบี ซีและยูเอสบี เอ ให้เลือกใช้งานได้อย่างเต็มที่ ผู้โดยสารตอนหน้านอกจากได้เบาะคู่หน้าแบบไฟฟ้าแล้ว ยังมีที่วางแก้ว 6 ตำแหน่ง ช่องเก็บของขนาดเล็กด้านหน้าผู้โดยสาร พร้อมเพิ่มความปลอดภัยแบบเต็มที่ด้วยถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง เสริมความมั่นใจในการใช้งาน
แต่ของหลายอย่างก็ขาดไปอย่างน่าเสียดายเหมือนกันนะ
มีคำถามเกี่ยวกับอุปกรณ์หลาย ๆ ชิ้นที่หายไปจากรถ เมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นเดิมที่ทำตลาดอยู่ก่อนหน้านี้ โดยทีมบริหารของฟอร์ดระบุว่ามันคือการบริหารจัดการเรื่องต้นทุน เนื่องจากฟอร์ดมีการติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ ๆ เข้ามามากมาย ทำให้ตัดสินใจตัดอุปกรณ์บางอย่างทิ้งไป เช่น โช๊คสำหรับฝากระโปรงหน้า ที่มีข้อมูลยืนยันว่าลูกค้าแทบจะไม่ได้เปิดอยู่แล้ว นอกจากนี้ ก็มีอุปกรณ์ที่หายไป เช่น เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบปรับระดับสูง-ต่ำได้ หรือช่องแช่เย็นที่เคยติดตั้งที่ตำแหน่งกล่องเก็บสัมภาระที่คอนโซลกลาง ซึ่งก็ต้องมาดูว่าในอนาคตจะมีการเพิ่มกลับคืนมาหรือไม่
เพิ่มความน่าใช้งาน รักษามาตรฐานฟอร์ด พร้อมยึดที่ 3 ถาวร
นอกจากที่กล่าววมา ฟอร์ดยังใส่รายละเอียดมากมายเข้าไปในรถที่ทำให้รถมีความน่าใช้งานมากขึ้น ทั้งที่เหยียบด้านข้างกันชนท้ายที่ทำให้ก้าวขึ้นลงหยิบของจากกระบะหลังได้ง่ายขึ้น กระบะหลังมาพร้อมระบบผ่อนแรงที่เบาจนยกได้ด้วยนิ้วเดียว เมื่อรวมอุปกรณ์ ระบบช่วยเหลือการขับขี่และความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมา ทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวล์ดแทร็ค จะสามารถรักษามาตรฐานของตัวเองในการเป็นผู้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ของรถปิกอัพในประเทศไทยเอาไว้ได้ และน่าจะทำให้พวกเขามียอดขายในอันดับ 3 ของตลาดรถปิกอัพในประเทศไทยอย่างเหนียวแน่น
ไว้มีโอกาสจะขอหยิบยืมรุ่นอื่น ๆ มาทดสอบกันอีกทีว่าคุ้มค่าไหม...