ทดสอบเครื่อง 2021 Honda Jazz เร่งรอบสุดขีดแดง 100 ชั่วโมง เทียบเท่าการขับรถจริง 50 ปี

ความทนทานของเครื่องยนต์ Honda (ฮอนด้า) นั้นยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากเท่าคู่แข่งอย่าง Toyota (โตโยต้า) ทำให้ลูกค้าบางคนที่ชอบรถยนต์ทนทาน หันไปเลือกค่ายสามห่วง ซึ่งการทดสอบความทนทานนี้ต้องใช้เวลานาน ทางฮอนด้าจึงจัดการทดสอบให้เห็นชัดเจนแล้วในตอนนี้

การทดสอบเครื่องยนต์ของ Honda ครั้งนี้ เกิดขึ้นในจีน ตรงกับการฉลองครบรอบ 22 ปีการก่อตั้ง บริษัท Guangqi Honda ในกวางโจว ทำขึ้นเพื่อทำให้มั่นใจถึงความทนทาน โดยวิธีการนั้น คือการลากรอบ Redline ค้างเอาไว้นานกว่า 100 ชั่วโมง

เครื่องที่นำมาทดสอบครั้งนี้ เป็นบล็อคเบนซินรหัส L15a ที่มีใช้อยู่ในรถรุ่นดังในไทยนั่นคือ Honda Jazz (ฮอนด้า แจ๊ซ) รหัส GK ที่ยังมีขายอยู่ในบ้านเราอย่างยาวนาน แม้ว่ารุ่นใหม่จะเปิดตัวขายในญี่ปุ่นแล้วก็ตาม

การลากรอบเครื่องยนต์ไปถึงระดับที่สูงนั้นจะเป็นการทำร้ายเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ในยานพาหนะใดก็ตาม แต่บางครั้งเราก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้พละกำลังสูงสุดของรถยนต์ที่เราขับ ดังนั้นถ้าหากเครื่องยนต์ทนสภาวะที่สุดโต่งได้ ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสามารถใช้ขับขี่ปกติประจำวันได้อย่างยาวนาน

ทำไมการลากรอบถึงไม่ดีต่อเครื่องยนต์?

เครื่องยนต์ทุกชนิดบนโลกนี้ มีขีดจำกัดของการหมุนอยู่ นั่นคือจุดที่ถูกขีดไว้ด้วยสีแดงบนวัดรอบรถของคุณ บางรุ่นรอบจัด บางรุ่นรอบต่ำ เป็นไปตามการออกแบบชิ้นส่วนตาง ๆ เช่น น้ำหนักของระบบวาล์ว เพลาลูกเบี้ยว หรือความทนทานของวัสดุภายใน ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน หากเราใช้เครื่องยนต์เกิน Redline ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์เครื่องแตก ลูกสูบทะลุ

เครื่องของ Honda ทดสอบเทียบเท่า 50 ปี

การลากรอบ Redline 6,800 รอบเอาไว้ 100 ชั่วโมง เทียบเท่าได้กับการขับขี่ปกติ น่าจะเป็นระยะเวลาหลายปีเลยทีเดียว ลองคำนวณดูกันเล่น ๆ สมมติท่านลากรอบรถวันละ 20 วินาที (ซึ่งเกินความจำเป็นมากแล้ว) สะสมรวมกันทุกวัน จะต้องใช้รถประมาณ 50 ปีถึงจะมีการทำงานของรอบเครื่องยนต์ขีดแดงครบ 100 ชั่วโมงแบบนี้ 

ทำไมใช้จริงไม่ถึง 50 ปี

หลายคนที่ใช้รถ Honda Jazz (ฮอนด้า แจ๊ซ) อาจจะใช้รถแล้วเครื่องพังก่อนเวลา 50 ปี ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเครื่องยนต์ในชีวิตจริง มีอายุไม่นานเท่านั้น เพราะว่าการใช้จริงต้องมีรอบเครื่องขึ้น-ลงมากกว่า จึงมีการสึกหรอเร็วกว่า ประกอบการขับจริงจะมีโหลดน้ำหนักมาเพิ่ม รวมทั้งการดูแลรักษาจากผู้ใช้ต่าง ๆ ที่อาจจะไม่ทัดเทียมการดูแลจากห้องแลปทดสอบนี้

นี่เป็นแค่การทดสอบความทนทานด้านเทคนิคเท่านั้น สื่อถึงความเหนียวของวัสดุ และการออกแบบเครื่องให้มีความสมดุลย์ ทั้งความแรง ทนทาน ประหยัด เท่าเทียมกัน ส่วนตอนขับใช้จริงจะพังยากแค่ไหน ก็แล้วแต่ผู้ใช้งานว่าดูแลรถได้ดีเพียงใดนั่นเอง