ตั้งแต่วันที่ก่อตั้งจนถึงวันนี้ BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) มีรถยนต์ในไลน์อัพเบ่งบานมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การเปิดตัวเอสยูวีเรือธงของค่าย ไปจนถึงไลน์อัพ i รถยนต์ไฟฟ้าที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้แก่ i4, iX และรถที่เปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นไฟฟ้า ได้แก่ X1, 5-Series หรือ 7-Series
การตั้งชื่อรุ่นที่ผ่านมาของ BMW อาจทำให้หลายคนไม่เข้าใจในที่มาของชื่อรุ่นรถ BMW ว่ามีหลักการอย่างไร เช่น 3-Series เป็นตัวถังซีดานและ 4-Series มีทั้งตัวถังคูเป้ และคูเป้ 4 ประตู (Gran Coupe)
ส่วน 6-Series เป็นตัวถังท้ายลาดแบบ GT และ 8-Series ที่เมื่อก่อนจะมีเพียงตัวถังคูเป้ 2 ประตู แต่เดี๋ยวนี้มีตัวถังเปิดประทุนและคูเป้ 4 ประตู เพิ่มมาด้วย
BMW ทุ่มเทในการตั้งชื่อและรหัสของรถจนตั้งแผนก “Strategic Naming and Vehicle Identification” เพื่อค้นหาชื่อและรหัสที่เหมาะสมกับรถมากที่สุด
ในแต่ละวัน ผู้คนที่ทำงานในตำแหน่งนั้นทำหน้าที่สร้างชื่อใหม่ที่เหมาะกับตำแหน่งในทั้งด้านราคา ระบบขับเคลื่อน (ล้อหน้า, ล้อหลัง, 4 ล้อ) ไปจนถึงชนิดของเครื่องยนต์
ในรายการพอทแคสท์ “Changing Lanes” ทาง BMW ได้อธิบายถึงการตั้งชื่อรุ่นว่า ยกตัวอย่างเช่น 745e เลข 7 แสดงถึงว่าเป็นรุ่นอะไร ถ้ารุ่นเป็นเลขคี่จะเป็นตัวถังปกติ ส่วนถ้าเป็นเลขคู่จะเป็นตัวถังที่สปอร์ตกว่า
แต่ที่น่าสนใจคือสมัยนี้คือตัวเลขหลังจากนั้น ในที่นี้คือ 45 ไม่จำเป็นต้องบอกถึงขนาดความจุของเครื่องยนต์เสมอไป เช่น ความจุ 4.5 ลิตร แต่ตัวเลขนี้จะแทนกำลังของเครื่องยนต์ในหน่วยกิโลวัตต์แทน ซึ่งรถยนต์ที่มีกำลังระหว่าง 300 ถึง 350 กิโลวัตต์ จะอยู่ในตัวเลข ‘45’
ซึ่งความคิดลักษณะนี้ดูคล้ายกับ Audi (อาวดี้) ในช่วงปี 2018 โดยตั้งชื่อรุ่นแบบนี้กับรถยนต์ที่ขายในอินเดียและจีน แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลข ‘45’ ในขณะนั้นของอาวดี้หมายถึงรถที่มีกำลังเพียง 169-185 กิโลวัตต์เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่ากันมาก
ถึงแม้จะยังฟังดูสับสนอยู่ก็ตาม แต่ทาง BMW ได้แย้งว่ามันเป็นความจำเป็นจากการที่เรามีระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย ทั้งเบนซิน ดีเซล mild-hybrid หรือ plug-in hybrid ส่วนตัวอักษรสุดท้ายคงเป็นไปตามที่หลายคนคาดเดา “e” มาจากรถ plug-in hybrid เช่นเดียวกับ “i” ที่มาจากเครื่องยนต์เบนซิน และ “d” จากเครื่องดีเซล
รถเปิดประทุนและเอสยูวีซีรีส์ X จะมี “sDrive” และ “xDrive” เพิ่มเข้ามา ขึ้นอยู่กับว่าขับเคลื่อน 2 ล้อ หรือทั้ง 4 ล้อ sDrive ถูกใช้ในรถขับเคลื่อนล้อหลังเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ถูกใช้ใน 1-Series, 2 Series Active Tourer, 2 Series Gran Coupe, และ X1 / X2 ซึ่งขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้าแต่ไม่รวม 2-Series Coupe รุ่นล่าสุดที่ยังขับเคลื่อนล้อหลังอยู่นะ
มาในส่วนของซีรีส์ M Performance กันบ้าง ซึ่งตัวอักษร “M” จะอยู่หน้าชื่อรุ่น แต่จะมีข้อยกเว้นให้กับรถซีรีส์ X และ Z ซึ่งทางค่ายบอกว่าเป็นตัวอักษรที่ “ทรงพลังที่สุดในโลก” จึงต้องนำ M ไปไว้หลังชื่อ เช่น X5 M50i หรือ Z4 M40i ในกรณีที่รถ M Performance นั้นมีให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 และ 4 ล้อ ให้ใช้ "sDrive" หรือ "xDrive" ต่อท้ายชื่อรุ่นไปเลย
อ่านเพิ่มเติม : ลองขับ BMW M340i ค่าตัว 3.999 ล้านบาท
และพอมาในโมเดลที่จัดเต็มทั้งความแรงและชุดแต่งอย่าง BMW M ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตัวอักษร “M” จะอยู่ข้างหน้าในรุ่นตัวถังซีดาน คูเป้ และเปิดประทุน ส่วนในรถเอสยูวีซีรีส์ X และรถสปอร์ตซีรีส์ Z จะเอา “M” ไปไว้ด้านหลัง เช่น Z4 M ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในซีรีส์ “i” จะใช้ตัวอักษรนี้นำหน้าชื่อรุ่น ถึงจะเคยใช้ในรถเครื่องยนต์สันดาป(ไฮบริด) อย่าง i8 แต่ทาง BMW ก็ยังไม่มีแผนจะทำต่อ ส่วน i3 REx ซึ่งเป็น i3 ที่มีเครื่องยนต์ปั่นไฟเพิ่มระยะทางก็ยังไม่มีแผนจะทำต่อเช่นกัน
ซึ่งถ้ารถซีรีส์ไฟฟ้าล้วนจาก BMW ใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ จะต่อท้ายว่า "eDrive" ล้อกับ "sDrive" ของรถเครื่องยนต์สันดาป ส่วนถ้าขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อจะใช้ "xDrive" เหมือนกัน...
อ่านเพิ่มเติม : 2021 BMW iX และ iX3 เปิดตัวขายเมืองไทย เห็นสเปกแล้วจะลืมขุมพลังสันดาป
การใช้ชื่อรุ่นรถเป็นตัวอักษรและเลขแบบ BMW เมื่อเทียบกับการใช้ชื่อรุ่นเป็นคำอาจจะดูน่าสนใจน้อยกว่า แต่การใช้วิธีนี้อาจทำให้ไลน์อัพของรถเข้าใจได้ง่ายขึ้น และเมื่อเกิดการเพิ่มรุ่นขึ้นมา จะทำให้ผู้ชื้อเข้าใจได้ง่ายว่านี่คือโมเดลอะไร อยู่ในตำแหน่งไหน มีกำลังเท่าไหร่
เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว การเลือกชมรถจากค่ายใบพัดฟ้าขาว คงจะง่ายขึ้นแล้วใช่ไหมครับ...
อ่านเพิ่มเติม : หัวหน้าฝ่ายออกแบบ BMW ต้องการรถรุ่นใหม่ให้มีดีกว่าแค่สวยงาม
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}