Ford เปลี่ยนผู้บริหารสูงสุดพร้อมลุยโลกยานยนต์แห่งอนาคต

Ford Motor Company (ฟอร์ด มอเตอร์ คอมพานี) ประกาศการเปลี่ยนแปลงในทีมผู้บริหาร เมื่อ Jim Hackett (จิม แฮคเก็ตต์) ประธานและซีอีโอเตรียมอำลาตำแหน่ง ก่อนรับตำแหน่งที่ปรึกษา พร้อมส่งไม้ต่อ Jim Farley (จิม ฟาร์เลย์) ซีโอโอรับตำแหน่งแทนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563

การเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารของฟอร์ดในครั้งนี้ ยังเลือกใช้มืออาชีพในการเข้าบริหารบริษัทต่อไป โดยฟาร์เลย์นั้นเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่เข้ามาร่วมทีมผู้บริหารฟอร์ดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และนอกจากจะรับตำแหน่งประธานและซีอีโอของบริษัทแล้ว ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพร้อมกัน

แฮคเก็ตต์นั้นถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่มีอิทธิพลต่อการทำงานของฟอร์ด มอเตอร์ คอมพานีในยุคหลังมาก หลังจากที่เขารับตำแหน่งในปี 2560 ที่ผ่านมา และทำให้ฟอร์ดหันมาเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรที่เติบโตสูงและทำผลกำไรสูงมาโดยตลอด การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงน่าจับตามองไม่แพ้กัน

วางรากฐานเสร็จแล้วต้องเติบโต

การเข้ามารับตำแหน่งของแฮคเก็ตต์นั้น มาพร้อมกับแผนการเปลี่ยนแปลงบริษัทครั้งใหญ่ของฟอร์ดในขณะนั้น และภายใต้การบริหารงานของเขา ฟอร์ดมีความน่าสนใจเกิดขึ้นมากมายในตลาดโลก ทั้่งในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ที่สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้อย่างหลากหลาย

ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ารถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่เปิดตัวออกมานั้นเรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตไฟฟ้าอย่าง Ford Mustang Mach-E รถปิกอัพฟูลไซส์อย่าง Ford F-150 หรือการปลุกตลาดรถที่น่าสนใจอย่างตระกูล Ford Bronce ให้กับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ล้วนแต่สร้างชื่อให้ฟอร์ดทั้งสิ้น

Bill Ford (บิล ฟอร์ด) ประธานกรรมการของฟอร์ด ระบุว่ารถยนต์เหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของฟอร์ด และฟอร์ดเองก็อยู่ระหว่างการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ รวมถึงระบบการเชื่อมต่อรถยนต์ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเติบโตอย่างยั่งยืนของฟอร์ดในอนาคต

ทำความรู้จักกับประธานคนใหม่ของ Ford

ฟาร์เลย์นั้นเข้ามาร่วมทีมงานกับฟอร์ด มอเตอร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขายและการตลาดสำหรับฟอร์ดทั่วโลก ก่อนที่จะขยับไปนำทีมรถยี่ห้อลินคอร์น ไปดูแลตลาดที่แข็งแกร่งอย่างฟอร์ด อเมริกาใต้และฟอร์ด ยุโรป ก่อนกลับมาดูตลาดทั่วโลกของฟอร์ดอีกครั้ง

ในปี 2562 เขาได้รับเลือกให้นำทีมพัฒนาธุรกิจใหม่ของฟอร์ด รวมถึงทีมเทคโนโลยีและกลยุทธ์ ในการช่วยบริษัทพิจารณาการเลือกใช้งานเพื่อพัฒาอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแพลตฟอร์มซอฟแวร์ การเชื่อมต่อ เอไอ หรือแม้แต่ระบบออโตเมชั่น ก่อนที่จะได้ปรับเป็นซีโอโอในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ความท้าทายของประธานและซีอีโอวัย 58 ปีคนนี้ ก็คือการพาฟอร์ดผ่านสถานการณ์ของไวรัสโคโรน่าไปให้ได้ พร้อมทั้งการเดินหน้าทำตลาดสินค้าใหม่ ๆ หลากหลายรุ่นที่จะตามมาในอนาคต รวมถึงการสร้างการเติบโตให้กับฟอร์ดทั่วโลกต่อไป ตามแผนการเติบโตและทำกำไรอย่างต่อเนื่อง