2019 Subaru Outback คือรถออฟโรดจากค่าย Subaru ที่มาด้วยระบบขับเคลื่อนแบบ AWD ออกแบบมาเพื่อการเดินทางไกล ท่องเที่ยว ผจญภัย แม้รถคันนี้จะไม่ใช่รถกระบะออฟโรด แต่ก็พร้อมจะโลดแล่นในทุกเส้นทางที่ใจคุณอยากจะไปถึง ด้วยที่มีมาให้ 2 รุ่นคือ เครื่องยนต์บ็อกซ์เซอร์ 4 สูบ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ความเร็วสูงสุด 198 กม./ชม. ตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและลูกค้าที่ต้องการพละกำลังที่จะขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อ ให้ผ่านไปได้ในทุกเส้นทาง มาด้วยราคาเปิดตัว 2.5 ล้านบาท กับออปชั่นที่ให้มาแบบจัดเต็มจนต้องจับตามอง
2019 Subaru Outback เป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 ที่ใช้พื้นฐานตัวถังรถมาจาก Subaru Legacy ที่พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม Subaru Global Platform เพิ่มความสูงตัวถังให้มีความสูงจากพื้นถนน 220 มิลลิเมตร เท่ากับรถเอสยูวีรุ่นอื่นในท้องตลาด ตัวถังมีขนาด 4,820 x 1,840 x 1,675 มม. (ยาว x กว้าง x สูง) ระยะฐานล้อ อยู่ที่ 2,745 มม. ไฟหน้าแอลอีดี โปรเจคเตอร์ พร้อมระบบปรับระดับไฟ สูงต่ำ ปรับตามองศาพวงมาลัย และปิดเปิดแบบอัตโนมัติ ระบบฉีดน้ำล้างโคมไฟหน้า ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ให้คุณพร้อมลุยทางฝุ่นในทุกเวลา ทุกสภาพอากาศ
มีระบบ Symmetrical All-Wheel Drive (S-AWD) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นจากค่าย Subaru ซึ่งช่วยในเรื่องการเกาะถนน ควบคุมอาการรถเมื่อเจอสภาพถนนที่มีแตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้คุณสามารถเลือกระหว่างการขับในเส้นทางปรกติหรือ จะปรับไปเป็น X – MODE ขับในเส้นทางทุรกันดาร มีระบบช่วยเหลือเมื่อขับบนทางสูงชัน ระบบรักษาเสถียรภาพ ระบบควบคุมการทรงตัว ระบบบังคับเลี้ยวพวงมาลัยไฟฟ้า เมื่อผสานเครื่องยนต์ บ็อกซ์เซอร์ 4 สูบ 2.5 ลิตร 175 แรงม้า กับแรงบิดที่สูงถึง 235 นิวตันเมตร จึงมั่นใจได้ว่ารถคันนี้จะพาคุณผ่านได้ทุกเส้นทางอย่างแน่นอน
หลายคนอาจมีประสบการณ์ในการนั่งรถออฟโรด รถกระบะยกสูงที่ปรับแต่งมาเพื่อวิ่งในเส้นทางวิบาก ซึ่งการออกแบบห้องโดยสารรถเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานมากนัก แต่สำหรับ Subaru Outback แล้วมีการปรับปรุง การใช้วัสดุซับเสียงรอบคันช่วยให้ห้องโดยสารมีความเงียบมากขึ้น
ภายในใช้โทนสีดำตัดสีเงินเดินด้ายบนแผงแดชบอร์ด หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ ขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play / Andriod Autoผ่าน Bluetooth และระบบสั่งงานด้วยเสียง Voice Recognition ให้เสียงเพราะๆด้วยระบบเสียงและลำโพงจาก Harman Kardon ระบบเบรกมือไฟฟ้า พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น มีระบบควบคุมความเร็วแบบอัตโนมัติ Cruise Control แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button กระจกมองหลังให้มาเป็นแบบปรับแสงอัตโนมัติ
เบาะนั่งหุ้มหนังปรับระดับด้วยไฟฟ้า เบาะนั่งด้านหลัง แยกพับอิสระ 60 : 40 ปรับเอนได้ ที่วางแขนกลาง ด้านบนมี หลังคา Sunroof เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระ Dual Zone พร้อมกับช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ทุกอย่างถูกออกแบบมาให้คนขับและผู้โดยสารทุกคนนั่งสบายเหมือนรถซีดานแต่เป็นซีดานยกสูงที่สมบุกสมบันมากที่สุดรุ่นหนึ่ง
แม้จะเป็นรถแนวออฟโรด ที่ดูต้องพึ่งพากำลังเครื่องยนต์และช่วงล่างมากกว่าระบบอื่น ๆ แต่ Subaru Outback ก็ไม่ได้มองข้ามระบบความปลอดภัยของรถรุ่นใหม่ที่ควรจะมี เพราะรู้ดีว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของการใช้รถคันนีมีแนวโน้มจะใช้ในชีวิตประจำวันบนท้องถนน ไปกลับที่ทำงาน วิ่งทางไกลในเส้นทางหลวงมากกว่าเข้าป่า
Subaru จึงได้ใส่ระบบ EyeSight Driver Assist Technology ที่ประกอบไปด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน, ระบบแจ้งเตือนออกนอกช่องจราจร พร้อมช่วยรักษาตัวรถให้อยู่ในช่องทาง ทั้งระบบเบรกอัตโนมัติ และระบบรักษารถให้อยู่ในเลน เป็นระบบความปลอดภัยที่ช่วยลดการเกิดอุบัติได้มาก และมักจะมีให้ในรถระดับสูงของตลาดเท่านั้น
ซึ่งระบบความปลอดภัย ของ Subaru Outback นี้รวมเรียกว่า Autonomous Driving ประกอบด้วย 6 ระบบคือ 1.ระบบเบรกอัตโนมัติก่อนการชน 2. ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติแบบแปรผัน 3. ระบบตัดการทำงานคันเร่งก่อนการชน (Pre-Collision Throttle Management) 4.ระบบเตือนเมื่อออกจากเลน (Lane Departure Warning) 5.ระบบเตือนเมื่อขับรถส่ายหรือออกนอกเลน (Lane Sway and Departure Warning) และ 6.ระบบเตือนเมื่อการจราจรเคลื่อนที่ (Lead Vehicle Start Alert) เรียกได้ว่าอัดแน่น ไม่แพ้รุ่นอื่นอย่าแน่นอน
มีรถสัญชาติญี่ปุ่นอยู่ไม่กี่รุ่นที่ได้รับการยกย่องว่ามีมาตรฐานการออกแบบ และคุณภาพวัสดุภายในเทียบเท่ากับรถยุโรป ซึ่งรถ Subaru Outback ก็เป็นหนึ่งในรถที่ได้รับคำชื่นชมมากที่สุดจากลูกค้าในสหรัฐอเมริกา เพราะห้องโดยสารขนาดใหญ่กว่ารุ่นในคลาสเดียวกัน จึงถูกใจชาวต่างประเทศที่ส่วนมากจะมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าชาวเอเชีย ในขณะเดียวกันในเรื่องราคา ออปชั่น กับสมรรถนะที่ได้รับถือว่าคุ้มค่ากับราคาค่าตัวที่ถือว่าไม่แพงเลย นอกจากนี้จุดที่ผู้ใช้ชื่นชมมากที่สุดก็คือระบบช่วงล่างที่เรียกได้ว่ามีทั้งความนุ่มนวลในการขับขี่และประสิทธิภาพในการเกาะถนนเข้าโค้งได้ดีไม่แพ้รถสัญชาติยุโรป และอเมริกาเลย
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}