ยอดจำหน่ายที่ลดลงในรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นของ Nissan (นิสสัน) อาจจะไม่ได้เป็นสาเหตุหลักเพียงอย่างเดียวที่ทำให้พวกเขายกเลิกการทำตลาดรถ 3 รุ่นในประเทศไทย ประกอบไปด้วย Nissan X-Trail (นิสสัน เอ็กซ์-เทรล) Nissan Sylphy (นิสสัน ซิลฟี่) และ Nissan Teana (นิสสัน เทียน่า) ตามที่เป็นข่าวเรียกเสียงฮือฮากันไปก่อนหน้านี้
เพราะผู้บริหารของนิสสันระบุว่า นอกเหนือไปจากยอดจำหน่ายที่ลดลงแล้ว สิ่งที่สำคัญมากกว่าที่ทำให้พวกเขาต้องตัดสินใจก็คือเรื่อวของการบริหารจัดการสายการผลิตรถยนต์นั่งในโรงงานแห่งที่ 1 ที่มีรถผลิตอยู่หลากหลายรุ่น และพวกเขานั้น ต้องการจัดสรรพื้นที่เพื่อให้พร้อมสำหรับการผลิต Nissan Kicks (นิสสัน คิกส์) และรถรุ่นอื่น ๆ ที่จะตามมาในอนาคต
เพราะนิสสัน คิกส์ คือหนึ่งในรถครอสโอเวอร์ที่มีความสำคัญที่สุดของนิสสัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ รุ่นใหม่ ที่ประเทศไทยได้รับการคัดเลือกเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ที่จะมีการส่งออกไปทำตลาดหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงประเทศญี่ปุ่นเอง ทำให้นิสสันไม่มีทางเลือก ที่จะต้องบริหารจัดการพื้นที่สำหรับการผลิตให้เรียบร้อย
นิสสันนั้นมีโรงงานในประเทศไทย 2 แห่ง ประกอบด้วยโรงงานแห่งแรกที่ใช้ในการผลิตมาอย่างยาวนาน มีกำลังการผลิตปีละ 2.2 แสนคันต่อปี โดยโรงงานแห่งนี้จะใช้ในการผลิตรถยนต์นั่ง รถเอสยูวีและครอสโอเวอร์ทุกรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย รวมถึงรองรับการส่งออกกลุ่มรถยนต์ดังกล่าวจากในประเทศไทยทั้งหมด
ขณะที่โรงงานแห่งที่ 2 ที่มีการลงทุนเพิ่มเติมในช่วงการเปิดตัว Nissan Navara (นิสสัน นาวาร่า) ใหม่นั้น จะใช้ในการผลิตนาวาร่าและ Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า) หากลงทุนเสร็จสิ้นแล้ว จะมีกำลังผลิต 1.5 แสนคัน ซึ่งจะทำให้นิสสัน ประเทศไทยนั้น มีกำลังการผลิตรถรวมกันสูงสุด 3.7 แสนคันต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย
ปัญหาก็คือ ไลน์ผลิตระหว่าง 2 โรงงาน อาจจะไม่ได้ยืดหยุ่นทดแทนกันได้ทั้งหมด นิสสันระบุว่าโรงงานแห่งที่ 1 นั้นมีการผลิตมากถึง 110% ของกำลังการผลิตในปัจจุบัน เป็นเหตุให้พวกเขาต้องตัดสินใจยกเลิกการทำตลาดรถที่ยอดจำหน่ายไม่มากไปก่อน เพื่อจัดสรรพื้นทีสำหรับการผลิตรถรุ่นใหม่ ๆ ที่จะก้าวมาเป็นอนาคตของแบรนด์ในท้ายที่สุด
ไม่ใช่เป็นการพูดกันลอย ๆ ว่ารถรุ่นไหนขายไม่ดี แต่หากมาดูในรายละเอียดยอดจำหน่ายรถแต่ละรุ่น ก็จะพบว่ามียอดจำหน่ายที่ลดลงไปตามลำดับ เทียน่านั้นมียอดจำหน่ายสะสม 7 เดือนแรกไปเพียง 212 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 4.1% แถมมียอดจำหน่ายที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับคู่แข่งอีก 2 รายที่กอบโกยยอดขายเป็นกอบเป็นกำในช่วงเดียวกัน
ซิลฟี่ก็มียอดจำหน่านไม่เป็นชิ้นเป็นอันเช่นกัน โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี รถเก๋งกลางของนิสสันมียอดจำหน่ายรวมไป 222 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 1.3% ดูทรงแล้วเหมือนไม่ได้อยากขายมาตั้งแต่ต้นปีแล้วด้วยซ้ำ ขณะที่เอ็กซ์-เทรลนั้น แม้จะมีการถล่มราคาไปแล้วเมื่อต้นปี แต่พวกเขาก็ขายได้แค่ 834 คันหรือมีส่วนแบ่ง 8.3% เท่านั้นในช่วงครึ่งปีแรก
แม้ผู้บริหารจะบอกว่านี่อาจจะไม่ใช่การไปแล้วไปลับสำหรับรถยนต์ทั้ง 3 รุ่น แต่หากดูจากการที่นิสสันปฏิเสธจะไม่ทำรถรุ่นนั้นรุ่นนี้ในประเทศไทยมาตลอด รวมถึงตลาดบางเซกเมนต์ที่ไม่ขยายตัว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้ความสามารถในการแข่งขันของนิสสันนั้นลดลงไปอีก และอาจจะต้องถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องเดินหน้าหาสินค้าใหม่เซกเมนต์ใหม่มาเสียที
จากการคาดการณ์ของ AutoFun Thailand ที่ได้ยินข่าวลือมามากมายจากแถวสาทรและบางนา-ตราด มีความเป็นไปได้อย่างมากที่นิสสัน ประเทศไทย จะต้องกลับไปทำตลาดรถยนต์มินิ เอ็มพีวีอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยลองทำตลาด Nissan Livina (นิสสัน ลิวิน่า) เวอร์ชั่น 5 ที่นั่งมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่ลิวิน่าใหม่ ที่เป็นเวอร์ชั่น 7 ที่นั่งและเป็นการปรับโฉมจาก Mitsubishi Xpander (มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์) ในประเทศอินโดนีเซียนั้น มีความสวยงามอยู่ไม่หยอก และเมื่อมองว่าตลาดประเทศไทยเองก็กำลังขยายตัวในเซกเมนต์นี้ รวมถึงความฮอตของเอ็กซ์แพนเดอร์เองก็ไม่ธรรมดา จึงต้องอยู่ที่นิสสันแล้วว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่
ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Nissan Ariya (นิสสัน อาริยะ) ที่เคยมีกระแสข่าวการเปิดสายการผลิตในประเทศไทย ขณะนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเพิ่มเติม แม้จะเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ สนใจเท่าใดก็ตามที่ ท้ายที่สุดก็ต้องดูความเหมาะสมของตลาดอีกมากมาย รวมไปถึงต้องเช็คความห้าวหาญของนิสสัน ประเทศไทย ว่าพร้อมจะเดินไปให้สุดทางหรือเปล่า
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}