ผู้บริหารระดับสูงของ BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ชี้ประเทศที่ยังไม่พร้อมใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าควร “ทำงานให้หนักกว่านี้” เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับรถอีวีในอนาคต
BMW เป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่นอกเหนือจาก Toyota (โตโยต้า) และ Volkswagen ที่ไม่ร่วมลงนามข้อตกลงจากการประชุมเกี่ยวกับสภาพอากาศหรือ COP26 ซึ่งมีเป้าหมายจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวภายในปี 2040 เนื่องจากค่ายรถยักษ์เยอรมันมองว่าทุกประเทศมีความสามารถแตกต่างกันในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
โธมัส เบคเกอร์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืนของ BMW กล่าวว่า บริษัทฯ ไม่ได้กำหนดวันสิ้นสุดการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาป เนื่องจากกำหนดเดดไลน์จะต้องสอดคล้องกับความเชื่อมั่นว่า “ประเทศยากจนต้องมีการพัฒนาควบคู่กันไปด้วย”
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
นักการเมืองคือปัจจัยสำคัญ
“เนเธอร์แลนด์และนอร์เวย์แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม ดังนั้น ตลาดรถยนต์ของประเทศเหล่านี้จะเต็มไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าในอีกไม่ช้า และเราจะจัดจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่นั่น แต่หากเป็นในอิตาลี สถานการณ์ก็จะแตกต่างออกไป” เบคเกอร์ กล่าวเพิ่มเติม
รายงานข่าวระบุว่า เนเธอร์แลนด์และนอร์เวย์มีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 7-8 แห่งต่อรถยนต์ไฟฟ้า 1,000 คัน ขณะที่อิตาลีมีเพียง 0.4 แห่งเท่านั้นต่อรถยนต์ไฟฟ้า 1,000 คัน ซึ่งผู้บริหารของ BMW มองว่ารัฐบาลของแดนมะกะโรนียังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และยังขาดผู้นำภาครัฐ
“พวกเขาเหล่านั้น (นักการเมือง) ไม่ทำอะไรนอกเหนือจากรอให้มีคนหว่านเงินลงมาเพื่อให้ทำงานได้สำเร็จ พวกเขาจะไม่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่เราเองก็ต้องแน่ใจว่าชาติยากจนต้องทำอย่างที่ควรทำ” เบคเกอร์ กล่าว
BMW เพิ่งประกาศความมุ่งมั่นว่าแบรนด์ในเครืออย่าง Rolls-Royce และ MINI จะทำตลาดแต่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวภายในปี 2030 แต่สำหรับรถยนต์แบรนด์ BMW เองนั้นต้องใช้เวลามากกว่านั้น
เบคเกอร์ ชี้ว่า การเปลี่ยนผ่านแบรนด์ BMW จากรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปไปเป็นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าโดยปราศจากโครงสร้างพื้นฐานรองรับนั้นจะเป็นการผลักดันให้ลูกค้าหันไปซื้อรถมือสองที่ยังใช้เครื่องยนต์สันดาป
“ยกตัวอย่างทางใต้ของอิตาลี พวกเขาจะซื้อรถมือสองที่ใช้เครื่องยนต์ดั้งเดิมอย่างแน่นอนหากมีการแบนห้ามใช้รถเครื่องยนต์ดั้งเดิมมือหนึ่ง” เบคเกอร์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ โคเฮ โยชิดะ ผู้จัดการทั่วไป Toyota ZEV Factory ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนารถที่ปราศจากศูนย์ ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า มีหลากหลายวิธีการและหนทางที่จะมุ่งสู่การลดมลพิษให้เหลือศูนย์ นอกเหนือจากข้อตกลงดังกล่าว
“เราต้องมีความมั่นใจว่าเราให้ความสำคัญกับทุกประเทศและทุกภูมิภาคอย่างเท่าเทียมกัน” โยชิดะ กล่าว “ถือเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะมีส่วนร่วมในข้อตกลงดังกล่าวในเวลานี้”
โยชิดะ กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถฟิวเซลต้องใช้เวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างแอฟริกาและลาตินอเมริกา
“สิ่งที่มีความสำคัญเหนือกว่าข้อตกลงดังกล่าวก็คือ แต่ละบริษัทจะต้องรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นและพยายามมุ่งสู่เป้าหมายการมีมลพิษคาร์บอนเป็นศูนย์” โยชิดะ กล่าว พร้อมกับยืนยันว่า Toyota ให้ความสำคัญกับข้อตกลง COP26 ด้วยเช่นกัน
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });