BMW 7-Series (บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7) ได้ดำเนินมาถึง 7 รุ่นแล้ว ถือว่าเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาในอุตสาหกรรมยานยนต์อยู่เสมอ เมื่อมองย้อนกลับไปในแต่ละรุ่น ซีรี่ส์ 7 ทั้ง 6 รุ่นที่แล้วมีนวัตกรรมอะไรที่น่าสนใจบ้าง ทั้งในด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ และด้านดีไซน์
BMW 7-Series รหัส E23
BMW 7-Series รหัส E23 (1977 - 1986)
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เจเนอเรชั่นแรกยังมีดีไซน์ที่คลาสสิคมาจนถึงทุกวันนี้ BMW กล่าวเกี่ยวกับซีรี่ส 7 รุ่นนี้ว่า “ด้วยเส้นสายตัวรถที่ถูกยืดออก คอนโซลหน้าแบบหันหน้าเข้าคนขับ เครื่องยนต์อันทรงพลัง และเทคโนโลยีแชสซีที่ล้ำสมัย ซีรี่ส์ 7 จึงได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสปอร์ตซีดานหรูมาตั้งแต่เริ่มต้น”
นวัตกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การมีมาตรวัดความเร็วแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นครั้งแรกของโลก พวงมาลัยที่แปรผันตามความเร็ว และกระจกมองข้างที่ปรับด้วยไฟฟ้า ในปี 1980 มีการเพิ่มคอมพิวเตอร์ออนบอร์ดเข้ามาในรถเป็นครั้งแรกในโลก โดยมีหน้าจอแสดงอุณหภูมิภายนอกมาให้อีกด้วย
ในปี 1979 BMW ยกเลิกเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์และใช้เครื่องยนต์แบบหัวฉีดเป็นครั้งแรกที่ประหยัดน้ำมันมากกว่า
เครื่องยนต์บล็อกที่โดดเด่น ได้แก่ ในรุ่น 735i ที่มีเครื่องยนต์ 3.5 ลิตร 218 แรงม้า ที่เปิดตัวในปี 1978 และรุ่น 745i เปิดตัวในปี 1980 เป็นเครื่องยนต์ 6 สูบเทอร์โบที่มีกำลัง 252 แรงม้า ที่ระบายอากาศด้วย charge-air cooling
BMW 7-Series รหัส E32
BMW 7-Series รหัส E32 (1986 - 1994)
BMW ได้วางแผนให้ซีรี่ส์ 7 เจเนอเรชั่นที่สองนี้เป็นรถซีดานที่มีความโฉบเฉี่ยวตามหลักอากาศพลศาสตร์ แต่ Dr. Wolfgang Reitzle ที่ภายหลังได้มาเป็นหัวหน้าของการพัฒนา ได้หยุดการทำโปรเจคดังกล่าวในวินาทีสุดท้ายและทำให้ซีรี่ส์ 7 รุ่นนี้มีรูปทรงที่หรูหรามากขึ้น และอีกเป้าหมายหนึ่งของเขาคือการวางเครื่อง V12 อันทรงพลังที่ใต้ฝากระโปรงของรถรุ่นนี้
ด้วยเส้นสายตัวรถที่สอดคล้องกันเป็นอย่างดี การขับขี่แบบสปอร์ต และระบบควบคุมแชสซีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ทำให้ซีรี่ส์ 7 ที่เปิดตัวในปี 1986 รหัส E32 ยังคงสวยงามจนถึงทุกวันนี้
เมื่อลองดูที่ด้านหน้าของรถ เราจะเห็นกระจังหน้าไตคู่อันเป็นเอกลักษณ์กลมกลืนกับเส้นสายแนวนอน ขณะเดียวกัน ไฟท้ายรูปตัว L แสดงถึงภาษาของการดีไซน์ใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เจเนอเรชั่นนี้ยังมีเวอร์ชั่นฐานล้อยาวให้เลือกเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีที่สำคัญ ได้แก่ ระบบ ASC ป้องกันการลื่นไถล พร้อมกับคันเร่งไฟฟ้าและระบบควบคุมแรงบิด
ในปี 1987 ซีรี่ส์ 7 ได้เปิดตัวเครื่องยนต์ 12 สูบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วง 1930 เครื่องยนต์ V12 ขนาด 5.0 ลิตร ระบบหัวฉีด สามารถรีดกำลังสูงสุดที่ 300 แรงม้า นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมเกียร์แบบ AGS เปิดตัวเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน และยังมีเครื่องยนต์ 6 สูบและ V8 อีกสองตัวให้เลือกอีกด้วย
BMW 7-Series รหัส E38
BMW 7-Series รหัส E38 (1994 - 2001)
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 รหัส E38 ได้ก้าวเข้าสู่ยุคโมเดิร์นแบบเต็มตัว แต่ดีไซน์โดยรวมของตัวรถเปลี่ยนแปลงไม่มาก และยังเพิ่มความสะดวกสบายของตัวรถและการขับขี่ที่ดีขึ้น เหมือนเป็นเพียงการสานต่อความสำเร็จจากรุ่นที่แล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าซีรี่ส์ 7 เจเนอเรชั่นที่ 3 นี้เป็นรถที่สวยที่สุดรุ่นหนึ่งของ BMW
ในเจเนอเรชั่นนี้ ซีรี่ส์ 7 ได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด โดยเครื่อง 8 สูบทั้งสองบล็อกและเครื่อง V12 เป็นเวอร์ชั่นใหม่ทั้งหมด เครื่องยนต์ V12 ถูกเพิ่มความจุเป็น 5.4 ลิตร ละมีกำลังเพิ่มเป็น 326 แรงม้า ขณะเดียวกันก็มีความประหยัดขึ้น 11%
ซีรี่ส์ 7 เจเนอเรชั่นที่ 3 มาพร้อมระบบช่วงเหลือการทรงตัวแบบใหม่ และยังเป็นผู้บุกเบิก active safety ที่มีในรถทุกวันนี้อีกด้วย นอกจากระบบ ABS แล้ว ในรุ่นแปดสูบจะได้ระบบควบคุมการทรงตัวของรถอัตโนมัติ (ASC) มาให้เลือก ส่วนรุ่น 750i จะได้ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESP) มาให้เลย
ส่วนด้านความสะดวกสบายมีให้ครบครัน ด้วยระบบนำทางที่ติดตั้งมาให้ โดยเป็นจอสีที่สามารถแสดงการใช้งานฟังก์ชั่นอื่น ๆ ได้ด้วย และมีความปลอดภัยที่ให้ถุงลมนิรภัย 8 ลูก รวมถึงระบบวัดแรงดันลมยางมาให้เป็นมาตรฐาน
ในรุ่นนี้ยังมีเครื่องยนต์ใหม่ในรุ่น 725tds เปิดตัวในปี 1996 เป็นเครื่องยนต์ที่เน้นความประหยัดน้ำมัน ด้วยขนาด 2.5 ลิตร 143 แรงม้า 6 สูบ ที่ให้ทั้งความประหยัดและการทำงานที่ราบรื่น
ตามมาด้วยปี 1998 ในรุ่น 730d ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 3.0 ลิตร หัวฉีดคอมมอนเรล ให้กำลัง 184 แรงม้า และเครื่องยนต์ที่เป็นไฮไลต์คือรุ่น 740d ที่เปิดตัวในปี 1999 ซึ่งทำให้ซีรี่ส์ 7 รุ่นนี้เป็นซีดานที่วางเครื่อง V8 ดีเซลเป็นครั้งแรก ด้วยระบบคอมมอนเรล ให้กำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า
BMW 7-Series รหัส E65
BMW 7-Series รหัส E65 (2001 - 2008)
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 ในเจเนอเรชั่นที่ 4 นี้ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงทั้งภายนอกและภายใน ตัวรถถูกออกแบบโดย Chris Bangle ถือว่าเป็นบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นหนึ่งที่มีดีไซน์ที่ล้ำสมัยที่สุด
ซีรี่ส์ 7 ในเจเนอเรชั่นนี้ได้ตั้งมาตรฐานใหม่แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไว้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น ระบบปฏิบัติการ iDrive ที่ยังพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ และภาษาของการดีไซน์แบบโมเดิร์นของ BMW ในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ในปี 2005 ยังมีระบบช่วยมองเห็นตอนกลางคืนและระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติครั้งแรกในยุโรป
มาพร้อมเครื่องยนต์ 8 สูบแบบใหม่ที่มาพร้อมระบบ double VANOS และ VALVETRONIC ในรุ่น 735i และ 745i ระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดครั้งแรกของโลก และเครื่องยนต์ที่เป็นที่กล่าวขานกันในรุ่น 760i ที่เปิดตัวในปี 2003 ด้วยเครื่องยนต์ 12 สูบขนาด 6.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 445 แรงม้า และแรงบิดที่ 600 นิวตันเมตร
ในปี 2006 BMW ยังเป็นผู้ลิตรถยนต์รายแรกที่เปิดตัวซีดานหรูที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจนที่มีพื้นฐานมาจาก BMW 760Li ด้วยเครื่องยนต์สันดาป 12 สูบ และเป็นรถยนต์ไฮโดรเจนคันแรก ที่ผ่านกระบวนการพัฒนาออกมาได้ ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 100 คันและเลือกเฉพาะลูกค้าที่ใช้รถคันนี้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น
นอกจากนี้ในด้านของความลื่นไหลและความสบายในการขับขี่ ซีรีส์ 7 นั้นสร้างความประทับใจด้วยแชสซีส่วนใหญ่ที่เป็นอะลูมิเนียม แดมเปอร์ไฟฟ้า และระบบกันโคลง
BMW 7-Series รหัส F01
BMW 7-Series รหัส F01 (2008 - 2015)
ซีรี่ส์ 7 ในเจเนอเรชั่นที่ 5 ถูกลดทอนบางอย่างให้ลดลงจากรุ่นที่แล้ว ส่งผลให้หลาย ๆ อย่างดูลงตัวขึ้น แชสซีที่ถูกพัฒนาใหม่ ระบบ Integral Active Steering ช่วยเรื่องการเลี้ยวครั้งแรกของโลก และระบบช่วยเหลือการขับขี่หลายอย่างที่พัฒนาบนตัวถัง F01 ซึ่งก็คือระบบ infotainment ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่นการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบไม่อั้นในรถ
เครื่องยนต์มีทั้ง 6 สูบ และ 8 สูบให้เลือก นอกจากนี้มีรุ่น 760i และ 760Li ตามมาด้วยเครื่องยนต์ 12 สูบ TwinPower Turbo จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดลูกใหม่ ทำให้กำลังที่รีดได้ที่ 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 750 นิวตันเมตร
และในปี 2009 ก็มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่แบบ xDrive ครั้งแรกในซีรี่ส์ 7 อีกอย่างคือเครื่องยนต์ไฮบริดอย่าง BMW ActiveHybrid 7 ซึ่งผสานการทำงานของเครื่องยนต์เบนซิน 8 สูบร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า
BMW 7-Series รหัส G11
BMW 7-Series รหัส G11 (2015 - 2022)
สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 รุ่นที่ 6 คือแพลทฟอร์มที่มีการเสริมด้วย CFRP (carbon fiber reinforced plastic) ทำให้รถเบาขึ้น สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้คือระบบไฮบริดใน BMW 740, ฟังก์ชั่น gesture control, ระบบช่วงล่าง Executive Drive Pro active suspension system, ระบบการขับขี่ที่เปลี่ยนตามพฤติกรรม และฟังก์ชั่นต่าง ๆ บนที่นั่งด้านหลัง เช่น เบาะนวด
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ ได้แก่ ระบบช่วยบังคับเลี้ยวและป้องกันการออกนอกเลน รวมถึงระบบควบคุมการจอดรถจากระยะไกล เครื่องยนต์ตัวท๊อปจะเป็นเครื่อง V12 ซึ่งให้กำลัง 610 แรงม้า ในรุ่น M760Li xDrive นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอีก 3 ขุมพลังให้เลือก
ในซีรี่ส์ 7 ตัวถังรหัส G11 ยังเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นถึงภาษาการออกแบบใหม่ที่ฉีกกรอบเดิม ๆ ของ BMW เพราะในปี 2019 ทางค่ายใบพัดฟ้าขาวได้นำกระจังหน้าไตคู่แบบที่ใหญ่ขึ้น แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มาใส่ไว้ในซีรี่ส์ 7 เจเนอเรชั่นนี้ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงดีไซน์ในอนาคตของบีเอ็มดับเบิลยูได้เป็นอย่างดี
ส่วนนวัตกรรมใหม่ ๆ ใน BMW 7-Series รุ่นล่าสุดในรหัสตัวถัง G70 สามารอ่านรายละเอียดเบื้องต้นได้ที่นี่
อ่านเพิ่มเติม : 2023 BMW i7 ซีดานไฟฟ้าผู้บริหารสุดหรู วิ่งไกล 625 กม. ราคาเริ่ม 4.7 ล้านบาท พร้อมจอหลัง 31.3 นิ้ว