ทุกคนต่างชื่นชอบรถยนต์ที่เร็วและแรงกันทั้งนั้น สิ่งนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่รถยนต์ไฟฟ้าครองใจผู้ใช้งานอย่างรวดเร็ว รถยนต์ไฟฟ้าแทบทุกคันในตลาดมีสมรรถนะที่เทียบเท่าซุปเปอร์คาร์กันทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ อุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าอาจเป็นเพราะผู้ขับขี่ไม่มีความสามารถเพียงพอในการควบคุมรถที่มีสมรรถนะสูงเหล่านี้หรือไม่?
- อีวีรุ่นเริ่มต้นก็แรงพอ ๆ กับรถสปอร์ต
- ช่วงแรกอีวีอาจตามหลัง ช่วงหลังเริ่มตามทัน
- สมรรถนะไม่สัมพันธ์กับทักษะผู้ขับขี่
- คนอายุมากอาจไม่ชินกับรถอีวี
- ต้องมีทักษะอะไรเพิ่มเติมไหม
เมื่อตอนที่ Tesla Roadster เจเนอเรชั่นแรกถือกำเนิดขึ้น การแสดงถึงสมรรถนะของรถคันนี้ในโฆษณาทำเพื่อให้เข้ากับราคาที่สูงของรถเท่านั้น แต่รถรุ่นต่าง ๆ ในเวลาต่อมาก็ยิ่งมีสมรรถนะที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
กลายเป็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าเกือบทุกคันในตลาดต้องมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังเทียบเท่าซุปเปอร์คาร์ไปกันหมด
อีวีรุ่นเริ่มต้นก็แรงพอ ๆ กับรถสปอร์ต
ในไลน์อัพของ Tesla ทุกวันนี้ รถที่แรงน้อยที่สุดจะเป็น Tesla Model 3 RWD ขับเคลื่อนล้อหลัง ยังมีอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.8 วินาทีเท่านั้น ในรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปก็มีสมรรถนะที่เร็วเหลือเกิน ตัวอย่างเช่น Kia EV6 ในรุ่นที่กำลังน้อยที่สุด มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.2 วินาที
ส่วนรถกระบะไฟฟ้าก็ไปในทางเดียวกัน ด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. น้อยกว่า 5 วินาทีแทบทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ควรคาดหวังจากรถสปอร์ตสมรรถนะสูงเท่านั้น
ช่วงแรกอีวีอาจตามหลัง ต่อมาเริ่มตามทัน
ในช่วงเริ่มต้น รถยนต์ไฟฟ้ามีข้อเสียเปรียบต่อรถเครื่องยนต์สันดาปอยู่บ้าง ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าช่วงแรกจะมีระยะทางที่ขับขี่ที่จำกัด เวลาในการชาร์จยังใช้หลายชั่วโมงอยู่ และแบตเตอรี่จะกินพื้นที่เก็บสัมภาระไปบ้าง แต่อัตราเร่งของรถยนต์ไฟฟ้าก็มาได้ทันทีที่กดคันเร่ง
เมื่อเวลาผ่านไปเทคโนโลยีของอีวีก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง รถยนต์ไฟฟ้าบางคันสามารถขับขี่ได้ในระยะทางไกลได้ถึง 837 กม. (Lucid Air) ต่อหนึ่งชาร์จและชาร์จจนแบตเตอรี่เต็มได้ภายในครึ่งชั่วโมง
ในแพลทฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าสมัยนี้มีการติดตั้งแบตเตอรี่เข้าไปในแพลทฟอร์มเลย จึงทำให้ไม่เสียพื้นที่เก็บสัมภาระอีกแล้ว ทำให้ตอนนี้คนเรามีเหตุผลในการเลือกรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้มากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือสมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้าที่ผู้ผลิตรถยนต์ต่างแข่งขันกัน
อ่านเพิ่มเติม : BYD เรียกคืน EV กว่า 9,000 คันในจีน เพราะแบตจะร้อนและเสี่ยงช็อต
สมรรถนะไม่สัมพันธ์กับทักษะผู้ขับขี่
แต่สมรรถนะที่สูงของรถยนต์ไฟฟ้าอาจเป็นดาบสองคม ในด้านหนึ่งอาจทำให้รถมีกำลังมากขึ้นในราคาที่ถุกลง แต่อีกด้านหนึ่งคือไม่ใช่ทุกคนที่จะมีทักษะมากพอในการควบคุมรถสมรรถนะสูงได้ และหลายคนไม่ได้ระวังในเรื่องนี้
เมื่อมีข้อสงสัยในเรื่องนี้ บางคนไม่ทราบว่าตนเองมีนิสัยอย่างไรเมื่อขับรถ หลายคนมีความมั่นใจอย่างมากเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย แต่จำนวนการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์หลายครั้งจะพิสูจน์ว่าเราอาจคิดผิด
คนอายุมากอาจไม่ชินกับรถอีวี
หรือแม้ว่าเราจะมีทักษะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมแล้ว แต่การร่วงโรยตามวัยย่อมมีให้เห็น เช่น สายตาที่ไม่เหมือนตอนหนุ่มสาว หรือการตอบสนองที่ช้าลงตามวัย
แต่ขณะเดียวกัน เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หลายคนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มที่จะซื้อรถที่แรงขึ้นตามมา ทำให้ทักษะความสามารถกับสมรรถนะของรถอาจอยู่ในจุดที่ไม่สัมพันธ์กันได้ ส่งผลให้เกิดปัญหามากมาย
เป็นที่อายุหรือรถ
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีตัวอย่างจากอุบัติเหตุหนึ่งในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ Frantz Jules ผู้ขับรถรายหนึ่งวัย 63 ปี ได้ขับ Tesla Model 3 ของเขาพุ่งเข้าไปในผนังกระจกของศูนย์การประชุมแถวนั้น
เขาอ้างว่ารถได้กดคันเร่งเองไปที่ความเร็ว 113 กม./ชม. และเบรคไม่ทำงาน ผลออกมาว่าหน่วยงาน NTSB ไม่ได้ดำเนินการสอบสวน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าการทำงานของรถจะผิดพลาด เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ คนขับจึงถูกลงโทษไป
อุบัติเหตุครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีอุบัติเหตุที่ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 20 คนในปารีสด้วยสถานการณ์ที่คล้ายกันและอ้างถึงเหตุผลเดียวกัน
ผู้ขับขี่ยังคงเป็นชายชรา (อายุ 58 ปี) ที่มีอาชีพขับแท็กซี่ และเช่นเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้ ที่เขาเพิ่งได้ขับ Tesla Model 3 และคงยังไม่ชินกับรถ สิ่งนี้แสดงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากคนที่มีอายุมากได้รับรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก
ต้องมีทักษะเพิ่มเติมไหม
ในตอนนี้ สัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าต่อรถยนต์ทั้งหมดบนโลกยังมีไม่มากนัก ซึ่งหมายความว่าโอกาสของอุบัติเหตุบนท้องถนนตอนนี้ยังมีไม่มาก แต่หากรถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่นิยมมากขึ้น สภาพท้องถนนของเราจะเป็นอย่างไร การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีทักษะอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ในอนาคต?
อ่านเพิ่มเติม : เจ้าของรถรีวิว Tesla Model Y หลังจากใช้มานาน 2 ปี