Ford (ฟอร์ด) ประกาศแผนธุรกิจสุดทะเยอทะยานด้วยการกำหนดเป้าหมายการเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 2 ของโลกภายในอีก 2 ปีข้างหน้า
เป้าหมายดังกล่าวหมายความว่า Ford จะต้องทุ่มงบลงทุนมหาศาลเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แข่งขันกับ Volkswagen ขณะเดียวกัน พวกเขาจะต้องบดบี้กับคู่แข่งตลอดกาลอย่าง General Motors และ Stellantis เพื่อช่วงชิงตำแหน่งท็อป 3 ในตลาดรถอีวีมาให้ได้เสียก่อน
ลิซา เดรค ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Ford เปิดเผยว่าเป้าหมายข้างต้นไม่ใช่ภารกิจ “มิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล” หรือเป็นไปไม่ได้ เพราะบริษัทฯ วางแผนขยายกำลังการผลิตให้ได้ถึง 600,000 คันต่อปี
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
นำโดยรถกระบะไฟฟ้า Ford F-150 Lightning
Ford กำลัง “เดินมาถูกทาง” ตามความคิดเห็นของเดรค หลังจากรถกระบะพลังงานไฟฟ้า Ford F-150 Lightning ได้เสียงตอบรับอย่างยอดเยี่ยมจนสามารถกวาดยอดจองได้ถึง 200,000 คันเลยทีเดียว
สำนักวิจัยตลาด AutoForecast Solutions ระบุว่ามีความเป็นได้ที่ Ford จะรั้งอันดับ 3 ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2025 ตามหลัง Volkswagen ในอันดับที่ 2 ส่วนผู้นำตลาดอันดับ 1 นั้นยากที่จะสั่นคลอนได้เพราะกำลังติดลมบน นั่นคือ Tesla (เทสล่า)
เดรค เปิดเผยว่า Ford กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และการจัดชิ้นส่วนสำคัญอย่างระบบขับเคลื่อนและระบบอิเลคโทรนิคส์ โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า vertical integration หรือการหลอมรวมสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไว้ในสายการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“เราไม่ได้ใช้กระบวนการ vertical integration มานานแล้ว แต่เชื่อว่าต่อจากนี้กระบวนการดังกล่าวจะถูกใช้อย่างต่อเนื่อง” ซีโอโอของ Ford กล่าวเพิ่มเติม
Ford ยังกำลังทำงานร่วมกับผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับโลก 5 รายทั้ง SK On, LG Energy Solution, CAT, BYD และ Panasonic เพื่อทำการพัฒนาเซลส์แบตเตอรี่นวัตกรรมใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต มีเป้าหมายสร้างกำลังการผลิตแบตเตอรี่ 240 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030
ค่ายรถยักษ์ใหญ่อเมริกันยังกำลังมองหาวิธีการใช้เซลส์เคมีที่แตกต่างจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นลิเธียม-ไอออน ฟอสเฟตที่ปราศจากโคบอลต์ และโครงสร้างเซลส์แบตเตอรี่รูปแบบใหม่ที่จะช่วยลดต้นทุนลงได้
ผู้บริหารระดับสูงของ Ford คาดการณ์ด้วยว่าต้นทุนการผลิตเซลส์แบตเตอรี่จะลดลงเหลือ 80 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลง นำไปสู่การกำหนดราคารถยนต์อีวีที่ลูกค้าเอื้อมถึงได้ง่ายขึ้น
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });