ข่าวคราวที่ดังเป็นกระแสมากที่สุดในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะหนีไม่พ้นการที่หน่วยงานภาครัฐประกาศตู้มว่าเตรียมเชิญค่ายรถและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือกันในช่วงหลังปีใหม่ เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีสำหรับรถยนต์ในประเทศไทยกันอีกครั้ง
แม้จะยังไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อได้หรือไม่ จากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสระลอกใหม่ แต่โดยเนื้อหาที่ออกมาเพื่อพิจารณาก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะมีกระแสข่าวว่าภาครัฐเองเตรียมเดินเครื่องปรับเพิ่มภาษีสำหรับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในกันเต็มพิกัด เพื่อหวังที่จะให้ประชาชนหันมางานรถยนต์พลังงานทดแทนกันเต็มที่
นั่นก็หมายถึงจะเก็บภาษีรถยนต์ไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริดและไฟฟ้า คงที่หรือลดลง แล้วเอาภาษีที่สูงขึ้นของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์รูปแบบดั้งเดิมมาทดแทน งานนี้คนฟังถึงกับยกนิ้วให้ เพราะงานนี้นอกจากจะผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทดแทนแล้ว รัฐยังไม่เสียหายจากการเก็บภาษีที่ลดน้อยลงไปเลย เป็นโครงการที่เหมือนจะดูดี
แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ต้องกลับมาถามกันจริง ๆ ว่า รัฐบาลเองประเมินความพร้อมของประเทศไทยเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ถึงความพร้อมในการใช้งานรถยนต์ประเภทดังกล่าว เพราะอย่าลืมว่ารถเหล่านี้มีความต้องการที่มากกว่ารถปิกอัพ รถอีโคคาร์ หรือตอนที่รัฐบาลผลักดันโครงการรถยนต์คันแรก ที่ใช้ภาษีเป็นแกนหลักในการผลักดัน
เอาเป็นว่าเมื่อเช็คจากเสียงของค่ายรถแล้วก็ยังแอบจับความหวาดหวั่นกันได้อยู่ว่าไม่รู้จะเห็นด้วยดีหรือไม่ แต่เงื่อนไขที่ทราบกันในตอนนี้ มีอยู่สองสามเรื่องที่ต้องพิจารณากันให้มาก หนึ่ง ความพร้อมของการใช้งาน สอง ระยะเวลาและเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลง และสาม ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์อื่น ๆ ในประเทศไทย นั่นเอง
สร้างมาตรการภาษีใหม่ตามการปล่อยมลพิษ
จากการที่มีข่าวออกมานั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง เตรียมที่จะทำการปรับหมวดหมู่ภาษีรถยนต์ใหม่ จากเดิมที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อนและมีการให้การสนับสนุนรถรุ่นใหม่ ๆ ออกมา แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง โดยเฉพาะรถยนต์กลุ่มพลังงานทดแทนที่ยังไม่เติบโต
การกำหนดโครงสร้างภาษีใหม่นั้น จะให้น้ำหนักไปที่การผลักดันให้เกิดการใช้งานรถยนต์ไฮบริด, ปลั๊กอินไฮบริดและอีวีมากเป็นพิเศษ โดยที่เราอาจจะได้เห็นการปรับลดโครงสร้างภาษีสำหรับรถกลุ่มเหล่านี้ จากเดิมที่เคยเสียกันที่ระดับ 2-10% ว่ากันว่าอาจจะได้เห็นโครงสร้างภาษีใหม่ระดับ 0-2% กันเลยทีเดียว
ขณะเดี่ยวกัน ก็มีข่าวออกมาเช่นกันว่ารถกลุ่มอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่ง ที่รวมถึงอีโคคาร์ รถปิกอัพและอนุพันธ์อย่างพีพีวี ก็จะตกเป็นผู้ต้องหาแทน โดยรัฐบาลเตรียมคิดภาษีอัตราใหม่เพิ่มเติมจากเดิม เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเลขภาษีลดลง และยังเป็นการบังคับผู้ใช้งานให้เปลี่ยนไปใช้รถกลุ่มพลังงานทดแทนเช่นเดียวกัน
ค่ายรถหวั่นกระทบอุตสาหกรรมระยะสั้น
มีคำถามที่น่าสนใจถึงหน่วยงานรัฐบาลอยู่หลายประการจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น หนึ่งก็คือ หากรัฐบาลต้องการผลักดันให้เกิดการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าจริง ความพร้อมของสถานีชาร์จในประเทศไทยนั้น จะต้องใช้เวลาอีกกี่ปี กว่าที่จะพูดได้ว่ามีมากเพียงพอที่จะรองรับกับความต้องการของผู้บริโภคในการเดินทางระยะไกล
นอกจากนี้ มาตรการที่รัฐบาลต้องการกำหนดให้มีการปรับเปลี่ยนนั้น มีการวางกรอบเวลาเอาไว้หรือไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไรในการเปลี่ยนแปลง เพราะหากต้องปรับกระบวนการผลิตรถยนต์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สามารถทำกันได้เลย ว่ากันว่าระยะเวลา 18-24 เดือน อาจจะไม่เพียงพอต่อการปรับปรุงเรื่องสายการผลิตมารองรับ
และสุดท้ายคือ โครงการที่ภาครัฐสนับสนุนอยู่อย่างรถปิกอัพและรถอีโคคาร์ โดยเฉพาะในส่วนของอีโคคาร เฟสสอง ที่ยังผีเข้าผีออกไม่สามารถผลักดันยอดการผลิตและจำหน่ายได้ตามแผนจากผลกระทบด้านโควิด-19 การที่ภาครัฐจะเปิดโครงการใหม่ออกมา ได้มีการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือเปล่า
จริงอยู่ที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานทดแทนประเภทอื่น ๆ จะเป็นอนาคตที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ของผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายทั่วโลก แต่ดูเหมือนการที่ภาครัฐเตรียมปฏิบัติการทุบหม้อข้าวตัวเองในครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะการจะผลักดันยานยนต์ไฟฟ้านั้น มีอะไรที่มากกว่าเรื่องของการผลิตอยู่มากมาย
การสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้บริโภค การปรับพฤติกรรมด้านการใช้งาน รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานมากมายที่ต้องได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเสียก่อน หากทุกอย่างพร้อมและลงตัวนั่นสิ จึงจะเกิดภาพของการเปลี่ยนแปลงสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่แท้จริงได้ในอนาคต
มาตรการทางภาษี: อาวุธภาครัฐดันยานยนต์เฉพาะกลุ่ม
โดยความเห็นส่วนตัว ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลจะนำมาตรการทางด้านภาษีมาผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์กลุ่มใดหรือประเภทใดก็ตาม แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า สินค้าโปรดักส์แชมป์เปียนที่ขายดีอยู่ในประเทศไทย ก็เติบโตมาแบบบิดเบี้ยวอย่างนี้ล่ะ ไม่ว่าจะเป็นปิกอัพ พีพีวีหรือแม้แต่อีโคคาร์
การยื่นมือเข้ามาใช้การจัดการโครงสร้างทางภาษี อาจจะเป็นเรื่องที่จำเป็น ในกรณีที่ต้องการการผลักดันสินค้าบางกลุ่มอย่างเร่งด่วน อย่างกระบะหรืออีโคคาร์นั้น ผลตอบรับที่ตามมาก็คือการเป็นฐานการผลิตระดับโลกของรถยนต์หลายรุ่นในปัจจุบัน และตลาดที่เติบโตอย่างพรวดพราดเพราะมันไม่ได้ยากที่จะใช้งาน
แต่กลับรถยนต์ไฟฟ้านั้นมันน่าจะเป็นคนละเรื่องกัน การประกาศท่ามกลางสภาวะถดถอยของอุตสาหกรรมยานยนต์ก็ดี การที่ยังไม่มีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานมารองรับก็ดี คงยากที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยการที่ผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า เติบโตขนาดแย่งชิงการเป็นฐานการผลิตตามมา
You can't fix yourself, by breaking someone else. จะแก้ปัญหารถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้รับความนิยม ก็ไม่ต้องไปทุบรถอื่น ๆ ที่ทำได้ดีอยู่ รอเวลาที่เหมาะสม เตรียมความพร้อมในการใช้งานให้ดี เดี๋ยวถึงเวลาก็มากันเองล่ะนะ...