ผู้บริหารระดับสูงของ Mazda (มาสด้า) ออกมาอธิบายสาเหตุที่ต้องนำเสนอเครื่องยนต์สันดาปขนาดใหญ่ ขณะที่ค่ายรถรายอื่นหันไปเน้นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ามากขึ้น
Mazda กำลังอยู่ระหว่างการทยอยเปิดตัวรถเอสยูวีรุ่นใหม่ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ Large Product ไฮไลท์อยู่ที่การนำเสนอเครื่องยนต์บล็อก 6 สูบแถวเรียงที่มีทั้งเบนซินและดีเซล พร้อมกับมีอ็อปชั่นขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดให้เลือกสรรด้วย
นั่นทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ทำไมค่ายรถจากเมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่นถึงต้องพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปรุ่นใหม่ ท่ามกลางกฎระเบียบด้านมลพิษที่เข้มงวดยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปจนค่ายรถหลายรายต้องให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
ต้องโฟกัสที่ความหลากหลาย
วิเนช บินดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Mazda Australia ให้สัมภาษณ์สื่อแดนจิงโจ้ว่า ความต้องการใช้งานรถยนต์ในแต่ละตลาดนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นจะต้องมีความหลากหลายในการนำเสนอผลิตภัณฑ์
“แต่ละตลาดทั่วโลกมีความต้องการใช้งานระบบขับเคลื่อนที่แตกต่างกัน บางแห่งต้องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า แต่บางแห่งต้องการใช้งานขุมพลังประเภทอื่น” บินดิ กล่าวเพิ่มเติม
“ถึงแม้รัฐบาล (ออสเตรเลีย) จะสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า แต่หากดูจากโครงข่ายจุดชาร์จไฟแล้ว ผมคิดว่าประเทศนี้จะยังต้องการใช้งานเครื่องยนต์สันดาปต่อไป ซึ่งก็เหมือนกับอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ยังไม่พร้อมใช้งานรถอีวี” บินดิ
หัวเรือใหญ่ Mazda Australia เปิดเผยด้วยว่า เขาเข้าใจที่ภาครัฐในหลายประเทศพยายามสนับสนุนนโยบายผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า แต่ออสเตรเลียและอีกหลายประเทศนั้นมีสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป ทำให้เครื่องยนต์สันดาปยังมีความสำคัญต่อผู้ใช้งานจำนวนมาก
“ดังนั้น Mazda จึงมีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอระบบขับเคลื่อนที่ยังเป็นที่ต้องการ และผู้บริโภคยังไว้วางใจ เรามีโซลูชั่นระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย ทั้งเครื่องยนต์สันดาป ระบบไฟฟ้า ไฮบริด และระบบไฟฟ้าที่มีเครื่องยนต์ขยายระยะทาง ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ในหลายตลาดทั่วโลกได้” บินดิ กล่าว
แผนผลิตภัณฑ์ของ Mazda มีเป้าหมายเปิดตัวรถยนต์ไฮบริด 5 รุ่น ปลั๊กอินไฮบริด 5 รุ่นและรถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่นภายในปี 2025 หลังจากนั้นจะมุ่งเน้นที่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลักไปจนถึงหลังปี 2030 ซึ่งพวกเขาตั้งเป้ายอดขายอีวีให้ได้ถึง 25% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจาก Ford, Mercedes-Benz และ BMW ที่มุ่งเน้นรถอีวีเต็มตัว
Mazda มองว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคใหม่คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างเดียว
นั่นจึงเป็นที่มาของการที่ Mazda ตัดสินใจพัฒนาเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง เบนซินมีขนาด 3.0 ลิตรและดีเซลมีขนาด 3.3 ลิตร สวนทางกับค่ายรถรายอื่นที่ปรับลดการลงทุนพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปเพื่อให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งบินดิยังแย้มด้วยว่าอาจมีเครื่องยนต์สันดาปรุ่นใหม่ตามออกมาเพิ่มเติมด้วยในอนาคต
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });