Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) ยกเลิกการลงทุนพัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนฟิวเซล ปิดฉากความพยายามในการสร้างรถพลังงานทางเลือกใหม่ที่กินเวลานาวนานถึง 25 ปี
มาร์คัส แชเฟอร์ กรรมการบริหารของ Daimler AG เป็นผู้ยืนยันข่าวดังกล่าวด้วยตนเองระหว่างงานแถลงข่าวที่งานมิวนิค มอเตอร์โชว์ และถือเป็นการปิดฉากรถไฮโดรเจนฟิวเซลอย่าง Mercedes-Benz GLC F-Cell ที่ออกขายตั้งแต่ปี 2018 ไปโดยปริยาย
“เมื่อเราพูดถึงเทคโนโลยีฟิวเซล เรารู้ดีว่าเรากำลังพูดถึงอะไร เนื่องจากเรามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวมานานกว่า 25 ปี” แชเฟอร์ กล่าว
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
สั่งสมประสบการณ์ยาวนาน
รถไฮโดรเจนฟิวเซลรุ่นแรกของ Mercedes-Benz คือ NECAR สร้างขึ้นในปี 1994 ซึ่งถูกพัฒนาต่อยอดจากรถแวน MB100 หลังจากนั้นในปี 1997 พวกเขาเริ่มทดสอบ NEBUS O 405 N รถบัสไฮโดรเจนฟิวเซลรุ่นแรกของค่ายตราดาว
ระบบขับเคลื่อนประเภทนี้มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสามารถติดตั้งในรถรุ่นเล็กอย่าง A-Class เพื่อทำการทดสอบภายใต้โปรเจคต์ NECAR 4
จนมาถึงถึงปี 2009 ค่ายรถยักษ์ใหญ่เยอรมนีผลิต B-Class F-Cell จำนวนจำกัดออกมาปล่อยเช่าซื้อให้แก่ลูกค้าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ก่อนจะตามมาด้วย GLC F-Cell ในปี 2018
เมื่อแชเฟอร์ถูกผู้สื่อข่าวถามว่า ระหว่างรถไฮโดรเจนฟิวเซลกับรถยนต์ไฟฟ้า รถแบบใดมีศักยภาพมากกว่ากัน ผู้บริหารรายนี้ยอมรับว่ารถไฮโดรเจนฟิวเซลยังไม่ถึงทางตันในแง่ของการใช้งานในรถบรรทุกหรือรถเพื่อการพาณิชย์ แต่หากเป็นรถยนต์โดยสารส่วนบุคคล ระบบนี้ยังไม่สามารถสร้างความคุ้มค่าได้
แชเฟอร์มองว่า บริษัทฯ จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญอย่างเหมาะสม ปัจจุบัน มีทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ดังนั้นจึงไม่มีที่ว่างให้แก่รถยนต์ไฮโดรเจน
“การพัฒนาทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และรถไฮโดรเจนพร้อมกันนั้นมากเกินไป เราต้องการให้ความสำคัญกับการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด” แชเฟอร์ กล่าวเพิ่มเติม
แต่คู่แข่งมองเห็นแสงสว่าง
ขณะที่ Daimler มองว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เหมาะที่จะใช้งานระบบไฮโดรเจนฟิวเซล ฟาก BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) มองว่าไม่ควรจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนดังกล่าว
โอลิเวอร์ ซิปส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BMW เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในเดือนสิงหาคมว่า มีวิธีการหลากหลายรูปแบบที่สามารถนำไปสู่การพัฒนารถยนต์ปราศจากมลพิษ ดังนั้นไม่ควรมองข้ามระบบใดระบบหนึ่งไป โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่นิ่งและอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรถเครื่องยนต์สันดาปสู่รถยนต์ไฟฟ้า
“การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่มีผิดไม่มีถูก ตราบใดที่ให้ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม แต่เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนที่ดีควรจะบริหารจัดการได้และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทั่วโลก” ซิปส์ กล่าวเพิ่มเติม
ซีอีโอของ BMW ชี้ด้วยว่าการเป็นบริษัทระดับโลกทำให้ต้องมองภาพใหญ่ในระดับโกลเบิล ซึ่งแต่ละตลาดมีความหลากหลายและแตกต่างอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีนที่มีความต้องการของลูกค้าและเงื่อนไขที่ไม่เหมือนกันเลย
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });