ลองขับ Neta X 480 smart ไป-กลับบางแสนไม่ต้องชาร์จ แรงพอใช้ ราคาพอดี มีข้อสังเกตตรงช่วงล่าง

Mr.Argus
Mr.Argus · 2024-10-31 16:16:29

การลองขับ Neta X ครั้งนี้เราได้รับรุ่น 480 Smart ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุด ขณะได้รับรถมาก็สำรวจหน้าปัดแสดงระยะทางว่าเป็น 479 ใกล้เคียงกับสเปคโรงงาน 

หลังจากปรับเบาะด้วยปุ่มไฟฟ้า และปรับกระจกมองข้างจากหน้าจอสัมผัสกลางแล้ว เราก็เดินทางบนถนนทางเรียบ เน้นจับสมรรถนะของรถยนต์ และลองใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่บนถนนจริง โดยใช้เส้นทางกรุงเทพ-ชลบุรี ขับแบบไม่จอดพัก ไม่ชาร์จไฟภายใน 1 วัน มาดูกันว่าการขับขี่บนทางเรียบจะถูกใจใครบ้าง

ระบบช่วยขับขี่นุ่มนวล

เส้นทางทดสอบครั้งนี้เริ่มต้นจากในกรุงเทพ ที่มีการจราจรหนาแน่นพอสมควร ทำให้เราได้ลองระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ตั้งแต่ช่วงความเร็วต่ำ รถมันก็เร่งและเบรคตามรถคันหน้าเอง สามารถตั้งระยะความห่างได้หลายช่วง และในระยะใกล้สุดก็มีความเหมาะสมในระยะเบรคได้นิ่มนวล โดยไม่เหลือช่องว่างให้รถคันอื่นแทรกได้ และมันยังเบรคได้จนถึงจุดหยุดนิ่งเลย ส่วนการแปรผันความเร็วในย่านความเร็วสูง ก็เร่งและเบรคได้นิ่มนวล แต่ยังเหลือระยะให้รถอื่นแทรกได้อยู่ อันเป็นปกติของระบบนี้

ระบบช่วยหักพวงมาลัยกลับ

ทางด้านระบบช่วยรักษารถในเลน เราลองแกล้งเปลี่ยนเลนไม่เปิดไฟเลี้ว รถก็เริ่มทำงานตอนที่รถเบี่ยงออกจนไปล้อรถคร่อมเส้นประ แล้วระบบก็หักพวงมาลัยกลับมาอย่างแข็งขัน สู้กับแรงหมุนของแขนเราพอสมควร เหมาะมากที่จะเอาไว้สั่งสอนพวกไม่เปิดไฟเลี้ยว แต้อย่างไรก้ตาม ระบบนี้สามารถตั้งค่าปิดได้ แต่มันก็จะกลับมาเปิดทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องอยู่ดี

ใช้ระบบจดจำป้ายและกล้อง

นอกจากนี้ยังมีอีกลูกเล่นเล็กๆน้อยๆ กับกล้อง 360 องศา ที่สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองได้หลายแบบ ทั้งด้านหน้า/ข้าง/หลัง และยังมีความสามารถปรับภาพตัวรถโปร่งใส เหลือแต่ล้อทั้ง 4 มุม ทำให้เรารู้ได้ว่า รถกำลังขับคร่อมสภาพพื้นแบบไหน มีประโยชน์ในการกะระยะได้แม่นยำขึ้น และอีกฟังก์ชั่นที่สังเกตได้คือ มันมีระบบจดจำป้ายจราจรที่ใช้งานได้จริง โดยเมื่อเราขับผ่านป้ายจราจรไม่ว่าอยู่ริมถนน อยู่ที่เกาะกลาง หรือติดอยู่บนคานสะพานด้านบน รถมันก็สามารถอ่านได้ครบทุกป้ายอย่างรวดเร็ว และช่วยเตือนไม่ให้เราขับเร็วเกินกำหนด

ช่วงล่างนุ่มนวล

การขับเข้าถนนบางนาตราด เป็นอีกหนึ่งสนามจริงของการทดสอบช่วงล่าง ที่มีรอยต่อถนน และยังมีคอสะพานอีกมากให้รูดในความเร็วสูง ซึ่งรถ Neta X ที่มีน้ำหนักตัว 1.8 ตันคันนี้ ซับแรงยุบยืดได้มาก แต่โช้คอัพยังรั้งตัวได้ไม่แน่นมากพอ ทำให้เกิดแรงสะท้อนกลับอีกระลอก ก่อนที่จะกลับมามั่นคงอีกครั้ง เป็นการเซ็ตระดับโช้คอัพมาให้เหมาะกับหลุมบ่อกับรอยต่อถนนที่สั่นสะเทือนแรงๆ แต่ไม่เหมาะกับลูกคลื่นถนนขนาดใหญ่ ทำให้คนนั่งรู้สึกสบายในความเร็วต่ำอย่างมาก แต่อาจจะปวดหัวเมื่อเจอลูกคลื่นใหญ่ในความเร็วสูง

เข้าโค้งโยนเยอะ

การเข้าโค้งยังมีการโยนตัวค่อนข้างมาก พร้อมกับมีอาการปลิ้นออกง่ายเมื่อลองเปลี่ยนเลนกะทันหัน ไม่ยกตัวคว่ำง่าย แค่ไถลออกนอกไลน์ที่ตั้งใจไว้ ทำให้ขาดความมั่นใจในการหักเลี้ยวแรงๆ หากใครที่เป็นพ่อบ้านที่อยากได้ความมั่นใจมากกว่านี้ อาจจะลองเปลี่ยนโช้คหรืออัดน้ำมันเพิ่ม จะได้ความเหนียวหนึบและยังคงความนุ่ม แต่ต้องเสียสละแลกกับการรับประกันคุณภาพจากศูนย์ในส่วนช่วงล่าง

กำลังพอใช้ได้

เมื่อลองขับขึ้นทางด่วน การออกตัวถือว่ามีแรงดึงรวดเร็วในระดับเทียบเท่ารถสันดาปเครื่อง 2.0 โดยประมาณ อาการติดเบาะไม่มากนัก ด้วยกำลัง 163 แรงม้ามีไว้เร่งแซงรถบรรทุกหรือรถอีโค่คาร์อย่างเพียงพอ ไม่ได้ทำให้หลังติดเบาะ หรือเร่งชนะรถสันดาปกำลังสูงแต่อย่างใด เพราะความเร็วปลายทำได้สูงสุดแค่ 155 กม./ชม. สูงกว่าสเปคในโบรชัวร์ที่ระบุไว้ 150 เท่านั้น ข้อดีอีกอย่างนึงคือ แรงบิดทำได้ 210 นิวตันเมตรมาอย่างทันที ออกตัวโดยไม่มีอาการเป๋ปัด แม้ว่าเซ็ตช่วงล่างนุ่มแล้วก็ตาม

ไฟฟ้าเหลือ 200 กม.

การขับขี่ของเราไม่เพียงแค่วิ่งไปถึงบางแสนแล้วกลับ เรายังวนอยู่ในตัวเมืองชลบุรี และยังวนอยู่ในกรุงเทพอีกนิดหน่อย โดยเราใช้น้ำหนักกดคันเร่งแบบคนขับทั่วไป ที่มีทั้งเร่งและเบรค เพื่อให้ได้ระยะทางขับขี่มากที่สุดในเวลาที่จำกัด โดยไม่มีการดับเครื่องตลอดทาง แม้ว่าจะจอดพักเข้าห้องน้ำก็ตามที ผลปรากฎว่าระยะทางที่ทำได้คือ 168 กม. เมื่อกลับมาถึงโชว์รูมตอนเย็น พบว่าหน้าปัดยังแสดงระยะทางที่ขับขี่ได้อีก 206 กม. แสดงว่าระยะทางทั้งหมดที่แบตเตอรี่สามารถขับขี่ได้ในสภาพแบบนี้คือ 374 กม. ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องปกติของรถไฟฟ้าอยู่แล้ว ที่มีสเปคบนโบรชัวร์ระบุว่า 480 กม.ตามมาตรฐาน NEDC แล้วในชีวิตจริงจะลดลงไปประมาณ 20% เพราะมาตรฐานนี้ ไม่ตรงกับลักษณะการขับขี่จริงอยู่แล้ว

วัสดุนุ่มนวล

ขณะที่เราสลับตัวคนขับ กลับมาลองเป็นผู้โดยสารทั้งเบาะหน้าและเบาะหลัง ก็ได้สัมผัสถึงความนุ่มของเบาะทั้งหน้าหลัง แม้กระทั่งที่วางแขนก็ยังให้นวมนิ่มแบบหนา นอกจากส่วนที่ร่างกายสัมผัสแล้ว ยังมีส่วนบนของคอนโซลและแผงประตู ที่บุวัสดุนุ่มมาให้เยอะสมกับคำอวดอ้างในโบรชัวร์ การตัดเย็บของตะเข็บด้ายก็ทำออกมาได้ดี หนังมีความตึงไม่ถูกดึงจนย่นยับจากโรงงาน 

ราคาถูกต้องแล้ว แต่ปรับปรุงตรงที่

สิ่งที่ต้องปรับปรุงในรถคันนี้มีน้อยมาก เช่น อยากให้เพิ่มระบบช่วยเบรคด้านท้าย ปรับปรุงปุ่มกดบางชิ้นให้แน่นหนา และอยากให้เพิ่มตัวเลือกสีภายในที่ไม่ใช่หนังสีส้มสดใสแบบนี้ เผื่อบางคนไม่ชอบแผงคอนโซลสะท้อนแสงแดดยามบ่าย 

ส่วนราคานับว่ามีความพอดี ไม่ถูกจนตลาดแตก และไม่แพงเกินคู่แข่ง โดยในสเปครุ่นท็อปราคา 799,000 นั้นคุณจะได้รถยกสูงที่ขับได้ 480 กม. ซึ่งหาไม่ได้ในคู่แข่งระดับเดียวกัน เช่น BYD Atto 3 รุ่นเริ่มต้นที่มีแค่ 410 กม. หรือ MG ZS EV ขับได้ 403 กม.เท่านั้น

การลองขับในครึ่งวันนี้ เป็นการลองขับบนถนนจริง ทดสอบความปลอดภัยขณะขับรถ และใช้งานบนความเร็วสูงกับสถานการณ์บนทางหลวงเป็นหลักเท่านั้น หากได้มีโอกาสใช้งานนาน ๆ เราจะได้ลองชาร์จไฟด้วยอีกในอนาคต

ข้อมูลทางเทคนิค NETA X 2024

  • ขนาดตัวรถภายนอก ยาว x กว้าง x สูง (มม.) 4619×1860×1628
  • ระยะฐานล้อ (มม.) 2,770
  • ระยะห่างจากพื้น (มม.) 185
  • น้ำหนักรถเปล่า (กก.) 1,740
  • พละกำลังสูงสุด 161 แรงม้า
  • แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร
  • ระยะทางขับขี่สูงสุด / 1 การชาร์จ มาตรฐาน CLTC 501 กิโลเมตร
  • ระบบขับเคลื่อน FWD ขับเคลื่อนล้อหน้า
  • อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม 9.5
  • ความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม.
  • แบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน LFP
  • พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด (kWh) 62
  • แรงดันไฟฟ้า (V) 400
  • รองรับการชาร์จ AC Type 2 (kW) 6.6
  • รองรับการชาร์จ DC CCS 2 (kW) n/a
  • พวงมาลัย พวงมาลัยไฟฟ้า
  • ระบบกันสะเทือนหน้า / หลัง แม็กเพอร์สัน, มัลติลิ้งก์
  • ระบบเบรคหน้า/หลัง ดิสก์เบรก
  • ขนาดยางล้อ 225/60 R18
Mr.Argus

Mr.Argus นักเขียน

คุณกัส ผู้จำชื่อรถได้หมดตั้งแต่เด็ก ขับรถเป็นตั้งแต่มัธยม ซ่อมรถใช้เองตอนปริญญาตรี สะสมรถคลาสสิคและรถหายาก ทำงานเรื่องรถมานาน 5 ปี ผ่านการอบรมขับขี่ปลอดภัยจาก Sach มีรถทดสอบผ่านมือมาตั้งแต่รถกระบะ รถเก๋ง จนถึงรถสปอร์ต งานอดิเรกก็แค่ซ่อมรถสะสมที่มีอยู่ ติดตามชีวิตคนบ้ารถได้ที่กลุ่ม https://www.facebook.com/groups/97434297973776

Toyota
Honda
Nissan
Mitsubishi
Mazda
Suzuki
Isuzu
Ford
Mercedes-Benz
BMW
Aston Martin
Audi