- ตำนานขาลุยที่พกความนุ่มมาบนทางออฟโรด
- ออพชั่นเต็มคัน พร้อมใช้ในชีวิตประจำวัน
- ยอดจอง 2,800 คันจะส่งมอบครบเมื่อไหร่นะ
Ford (ฟอร์ด) นั้นมีสินค้าที่พวกเขาปลาบปลื้มและประทับใจในระดับตำนานหลายต่อหลายรุ่น แต่หากในยุคปัจจุบัน พี่ใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งบึกบึนเหนือใคร คงหนีไม่พ้นกระบะสายโหดตัวโดดอย่าง 2022 Ford Ranger Raptor (ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์) ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ไม่นาน
แม้จะมีราคาจำหน่ายที่โดดขึ้นไป 1.869 ล้านบาทในรุ่นสีธรรมดา และต้องจ่ายเพิ่มอีก 1 หมื่นบาทหากเลือกสีส้มหรือสีเทา และอีก 1 หมื่นบาทหากอยากได้สติกเกอร์ลายพิเศษรอบคัน หลายคนอาจจะบอกว่าราคามันเวอร์ไปไหม แต่ฟอร์ดยืนยันว่า พวกเขามีลูกค้าต่อคิวรอรับรถถึงปัจจุบันเข้าไปแล้วกว่า 2,800 คน
AutoFun Thailand มีโอกาสได้อยู่หลังพวงมาลัยกระบะสายโหดก่อนการส่งมอบอย่างเป็นทางการให้กับลูกค้ากลุ่มแรก และได้พบว่านอกจากเครื่องยนต์อันทรงพลัง และช่วงล่างที่เรียกได้ว่าฉลาด รวมถึงมีความแข็งแกร่งทนทานเหนือใคร ถ้าหากมั่นใจว่าใช้งานรถคันนี้คุ้มและไม่สนใจเรื่องค่าน้ำมัน ก็น่าจะเป็นเจ้าของอยู่
มีคันนี้คันเดียว เที่ยวได้ทั่วไป แถมออพชั่นก็ไม่แพ้ใครด้วยนะ...
ออพชั่นล้นคัน บนตัวถังรูปทรงบึกบึน
การออกแบบภายนอกของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ รุ่นใหม่นี้ ดูลงตัวมากกว่ารุ่นที่ผ่านมา ด้วยเส้นสายที่ดูต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวทั่วคันมากกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วยฝากระโปง ช่องระบายอากาศด้านข้าง โป่งซุ้มล้อและช่องไล่ลมต่าง ๆ ที่เน้นในเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ ขณะที่กระจังหน้าเลือกใช้กระจัง F-O-R-D ที่ทำให้ด้านหน้ารถมีความโดดเด่นมากขึ้น กันชนหน้าและหลังทำจากเหล็กกล้าที่แข็งแรงทนทาน ติดตั้งแผ่นกันกระแทกที่ผลิตจากเหล็กหนา 2.3 มิลลิเมตร บันไดข้างอลูมิเนียมออกแบบมาเนียนตามากขึ้น
ออพชั่นภายนอกนั้นจัดมาเต็มที่ ไล่ไปตั้งแต่ไฟหน้าแบบแมทริกซ์ แอลอีดี มาพร้อมระบบปรับมุมลำแสดงอัตโนมัติ ระบบป้องกันไฟแยงตาและระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างกลางวัน ไฟตัดหมอกหน้าและไฟท้ายแบบแอลอีดี ฝาท้ายแบบผ่อนแรงและระบบล็อกพร้อมกับการล็อกรถ พื้นปูกระบะท้ายเฉพาะแร็พเตอร์ พร้อมช่องต่อไฟขนาด 12 โวลต์และ 230 โวลต์ พร้อมด้วยช่องล็อกระบบต่าง ๆ ที่ติดตั้งกันมาอย่างเต็มที่ โดดเด่นด้วยล้ออัลลอย 17 นิ้ว พร้อมยางออลเทอร์เรนของ BFGoodrich K02
ภายในของเยอะไปไหน แทบจะไม่ใช่กระบะแล้ว
ทีมงานของฟอร์ดระบุว่า ทีมออกแบบนั้นให้ความสำคัญกับการออกแบบภายในห้องโดยสารของแร็พเตอร์เป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้ห้องโดยสารระดับพรีเมียมที่แท้จริง เบาะที่นั่งคู่หน้านั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินขับไล่ และออกแบบมาให้รับกับสรีระของผู้ขับขี่และผู้โดยสารมากที่สุด โดยเป็นการผสานกันของหนังและหนังสังเคราะที่สามารถปรับได้ 10 ทิศทาง ที่บังลมมาพร้อมกระจกแต่ไม่มีไฟมาให้ หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ 12.4 นิ้ว ใหญ่โตอัดแน่นด้วยข้อมูลของตัวรถแบบครบครัน
การควบคุมระบบต่าง ๆ และระบบความบันเทิงเป็นของหน้าจอแนวตั้งขนาด 12 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อแอนดรอยด์ ออโต้และแอปเปิล คาร์เพลย แบบไร้สาย แท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สายความเร็วสูงติดตั้งมาเรียบร้อย กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ เครื่องเสียงของ B&O พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง มาพร้อมช่องชาร์จไฟหลากหลายรูปแบบ พร้อมด้วยอัพฟิตเตอร์ สวิชท์ สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ออฟโรด 6 สลอต ติดที่ด้านบนห้องโดยสาร พร้อมสำหรับการใช้งาน
เครื่องยนต์ดุดันในทุกช่วง ออนโรดโหด ออฟโรดมัน
ในตอนที่ฟอร์ดเปิดตัวแร็พเตอร์ เจนเนอเรชั่นแรกนั้น พวกเขาได้รับฟีดแบ็คเอาไว้เยอะมากกับการเลือกใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกับ Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) ที่แม้สมรรถนะจะไม่ได้เลวร้าย แต่มันก็ไม่ได้ดีงามมากพอที่จะทำให้แฟน ๆ ที่ควักกระเป๋าอีกครึ่งล้านพึงพอใจได้ การกลับมาอีกครั้งละมีพันธมิตรใหม่อย่าง Volkswagen Amarok (โฟล์กสวาเกน อมาร็อค) ทำให้ฟอร์ดสามารถเลือกใช้เครื่องยนต์รุ่นอื่น ๆ มาเสริมทัพให้กับแร็พเตอร์ เพื่อรีดพละกำลังให้ถึงขีดสุดของรถกระบะขาลุยตัวจริงเสียที
และเครื่องยนต์ที่เลือกนำมาประจำการก็คือเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี6 อีโคบูสต์ เทอร์โบคู่ ที่รีดกำลังได้ระดับ 397 แรงม้าที่ 5,650 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 583 นิวตันเมตรที่ 3,500 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติไฟฟ้า 10 สปีด แบบ Electronic Shifter ซึ่งสามารถปรับตัวได้ตามการขับขี่ในแต่ละช่วงถนนและทางออฟโรด โดยมีโหมดการขับขี่พื้นฐานมาให้เลือกถึง 7 โหมด ประกอบไปด้วย 3 โหมดถนนและ 4 โหมดออฟโรด รวมถึงไปถึงโหมดออฟโรดความเร็วสูงอย่าง Baja (บาฮา) ก็มาด้วย
ออพชั่นด้านการขับขี่ครบครัน ปั่นได้ทุกสถานการณ์
ไม่ใช่แค่การปรับเครื่องยนต์มาให้เหมาะสมกับภาพลักษณ์ของรถมากขึ้นเท่านั้น แต่ทีมงานของฟอร์ดเองก็เลือกอุปกรณ์อื่น ๆ มาให้เหมาะสมกับการใช้งานรถคันนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งดิฟฟ์ล็อกไฟฟ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วงล่างหน้าเลือกใช้แบบอิสระปีกนกอลูมิเนียม 2 ชั้น พร้อมโช็คอัพ FOX แบบไลฟ์วาล์วและเหล็กกันโคลงช่วงล่างหลังแบบคอยล์สปริง พร้อมโช็คอัพ FOX แบบไลฟ์วาล์วพร้อมวัตต์ลิงค์ ซึ่งโช๊คใหม่นี้สามารถปรับตัวตามสภาพการขับขี่ได้ถึง 500 ครั้งต่อวินาทีเลยทีเดียว
ฟอร์ดยังเลือกใช้ดิสก์เบรกขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถหยุดรถคันนี้ได้ในทุกสถานการณ์ รวมไปถึงการติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอัตโนมัติหรือโหมด 4A มาเพิ่มในรถคันนี้ เพื่อใช้งานออนโรดได้อย่างสะดวกมากขึ้น รวมถึงการติดตั้งระบบ Anti-Lag ในโหมดบาฮาเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในรายละเอียดอย่างเสียงท่อไอเสีย ก็ปรับได้ถึง 4 รูปแบบ ตั้งแต่แอบย่องออกจากบ้านไปจนถึงประกาศศักดาบนท้องถนนอย่างเต็มที่
ระบบความปลอดภัยคือหัวใจในการใช้งานรถคันนี้
แม้จะมีความโดดเด่นในเรื่องของการเป็นรถออฟโรดแบบเต็มพิกัด แต่ด้วยราคาจำหน่ายระดับนี้ ฟอร์ดได้ทำการติดตั้งระบบความปลอดภัยเข้าไปอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย 7 ใบ กล้อง 360 องศา พร้อมระบบเตือนรถในมุมอับสายตาและเซนเซอร์ช่วยถอยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ติดตั้งเบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold และยังมาพร้อมฟังชั่นส์การใช้งานระดับสูงอย่างระบบควบคุมความเร็วรถยนต์แบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบช่วยคุมตัวรถให้อยู่กลางเลน
ระบบดังกล่าวจะทำงานร่วมกับระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางและระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และยังมาพร้อมระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติที่สามารถตรวจจับคนเดินถนนได้ แน่นอนว่ามาพร้อมระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ ระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอดรถ ปลอดภัยกว่าเดิมด้วยระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ สะดวกมากขึ้นกับระบบช่วยจอดอัจฉริยะและระบบตรวจลมยางรถ
ขับในเมืองคล่องตัว ขับให้ประหยัด 10 โลลิตรทำได้
ในตอนแรกที่รับกุญแจรถทดสอบมาอยู่กับตัวแล้วลองใช้งานในเมือง บอกเลยว่าแอบมีหวั่น ๆ เหมือนกัน แม้จะใช้ปิกอัพอยู่แล้งในชีวิตประจำวัน แต่ตัวถังของแร็พเตอร์นั้นกว้างกว่าชัดเจนและมีบันไดข้างยื่นออกไปอีก แต่พอปรับตัวได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เบาะที่นั่งสบาย กระชับตัว ออพชั่นต่าง ๆ ที่ให้มานั้นสวยงาม ใช้ได้ดีและรองรับการใช้งานยุคใหม่อย่างมาก จริง ๆ ปลื้มตัวไวร์เลสชาร์จเจอร์แบบไวกับแอนดรอยด์ ออโต้แบบไร้สายอยู่ ขณะที่ทัศนวิสัยของรถนั้นก็ดี ชดเชยขนาดตัวถังไปได้อยู่มากโข
เครื่องยนต์ให้การตอบสนองแบบดุดันในทุกย่านความเร็ว ถ้าใช้ในเมืองแบบรถติด ๆ ก็เลือกใช้ระบบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ไหลตามคันหน้าไปได้เรื่อย ๆ ได้ อัตราการกินน้ำมันแบบปกติในเมืองที่ทำได้จะอยู่ที่ประมาณ 8 กิโลเมตรต่อลิตร แต่หากเดินทางไกลที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ต่อเนื่องก็จะประหยัดระดับ 10 กิโลเมตรต่อลิตรได้อยู่ ถ้ากดหนัก ๆ มีลงไป 5-6 กิโลเมตรต่อลิตรเหมือนกัน ที่น่าตกใจคือเครื่องยนต์ตัวนี้รองรับ E20 ได้นะ แต่เอาจริง ตอนเติมก็เติม 95 นั่นล่ะ น่าจะเหมาะกว่า
เลือกโหมดให้เหมาะแล้วออฟโรดก็ผ่านได้ทุกพื้นที่
ใน 4 โหมดการขับขี่ออฟโรดที่ฟอร์ดติดตั้งมาให้ในแร็พเตอร์นั้น พวกเขาได้ทำการเซตอัพให้ใช้งานได้อย่างง่ายดายที่สุด เพียงแค่ประเมินสภาพพื้นผิวที่จะต้องใช้งาน แล้วเลือกว่าจะใช้โหมดการขับขี่ใด โหมดการขับขี่ การเปิดดิฟฟ์ล็อกต่าง ๆ ก็จะปรับมาเองในพื้นฐานที่ใช้งานได้เลย และเมื่อเราเปลี่ยนโหมดไป ระบบก็จะปรับไปด้วยตัวเองอีกครั้ง แถมพวกฟังชั่นส์อย่างกล้องที่จะเปิดขึ้นมาเมื่อเข้าโหมดออฟโรด ก็ทำให้เราสามารถควบคุมรถในโหมดออฟโรดได้ง่ายขึ้น มือใหม่จากไหนก็ผ่านได้อย่างสบาย
ข้อดีมาก ๆ ของแร็พเตอร์ก็คือในการขับขี่แบบออฟโรดนั้น ตัวรถยังพยายามที่จะควบคุมและให้ความสะดวกสบายของการโดยสารอย่างเต็มที่ ช่วงล่างนั้นยังคงนุ่มนวลน่าคบหาเหมือนเดิม และมีระยะยุบตัวและคืนตัวที่ดีหากเทียบกับรถปิกอัพทั่วไป และไม่แพ้เอสยูวีระดับสูงที่ค่าตัวแพงกว่านี้ การทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์และระบบช่วงล่างถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายที่สุด แต่ก็ต้องมีความรู้พื้นฐานอยู่นะว่าแต่ละโหมดนั้นมีลิมิตของการใช้งานแบบไหน และสถานการณ์ใดควรเลือกโหมดไหนดี
สรุป ขับง่ายขึ้น แรงจัด ออพชั่นล้นเหลือ มีเงินก็ซื้อเถอะ...
ยอดจอง 2,800 คันหลังเปิดตัวที่จะเริ่มส่งมอบกันในวันที่ 19 สิงหาคมนี้ เป็นการจองโดยที่ลูกค้ายังไม่ได้สัมผัสหรือทดลองขับกันอย่างจริงจัง และยอดนี้ถือเป็นเกือบ ๆ 30% ของยอดจองฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ทำไปได้ 1.1 หมื่นคันหลังเปิดตัว แสดงให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้าที่แท้จริงของแร็พเตอร์นั้น ไม่ธรรมดาและพวกเขาพร้อมที่จะจ่ายเพื่อให้ได้สิ่งที่ตอบสนองความต้องการได้ดี
แน่นอนว่าด้วยค่าตัวระดับนี้ คุณอาจจะเลือกซื้อพีพีวีตัวท็อปได้ เลือกซื้อรถเก๋งขนาดใหญ่บางคันได้ หรือบวกเงินอีกนิดหน่อยไปเอารถยุโรปก็ได้เช่นกัน แต่ก็คงไม่มีคันไหนที่จะตอบสนองการใช้งานที่โดดเด่นเท่าฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ไปได้ ทั้งในการขับขี่แบบออนโรดที่เน้นออพชั่นอัดแน่นไม่เป็นรองใคร และความสนุกบนเส้นทางออฟโรดที่คงหาใครมาเทียบเทียมได้
แน่นอนว่าจุดติเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีอยู่ เช่น เบาะตอนหลังที่อาจจะไม่ได้สบายโอ่อ่า หรือออพชั่นบางอย่าง เช่น เสาอากาศที่ควรเป็นแบบพับได้ กระจังส่องหน้าควรมีไฟมาให้ เข็มขัดนิรภัยควรปรับสูง-ต่ำได้ และขอเถอะ ค้ำโช็คสำหรับฝากระโปรงหน้า ที่ดูเป็นจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากทำสมบูรณ์แบบ ลูกค้าก็จะใช้งานรถคันนี้ได้อย่างแฮปปี้มีความสุขมากขึ้นตามมาด้วยในทุกโอกาส
ถ้าคิดว่ารถราคานี้ไม่ใช่ปัญหา และมีไลฟ์สไตล์ที่ได้ใช้งานรถจริง ๆ ขอบอกว่าคุ้มค่ากับการลงทุนแน่นอน!!!