หลังจากที่ Toyota (โตโยต้า) ผู้นำตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน พลาดท่าเสียแชมป์ทั้ง 3 ตลาด อันประกอบไปด้วย ตลาดรวม ตลาดรถยนต์นั่งและตลาดรถปิกอัพให้กับคู่แข่งในเดือนกุมภาพันธ์ ตามที่มีรายงานข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น
โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงต้นปี ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากมาตรการที่ออกมาเพื่อรองรับวิถีชีวิตใหม่ (นิวนอร์มอล) ของบริษัทยังไม่ดีพอ
อย่างไรก็ตาม มองว่าสถานการณ์ในปีนี้จะต้องดีขึ้น ทั้งในภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์และของโตโยต้าเอง จะเน้นไปที่การออกสินค้าใหม่เพื่อดูดผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม พร้อมเพิ่มการให้บริการที่หลากหลาย มั่นใจว่าจะสาามารถกลับมาเป็นผู้นำได้อีกครั้ง
มั่นใจตลาดรวมโต 7-14% ปรับแนวทางทำตลาดรับมือ
ยามาชิตะเปิดเผยถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ว่าน่าจะได้รับผลกระทบที่ดีจากการที่รัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ทำให้มองว่าตลาดในปีนี้น่าจะเติบโตที่ 7-14% หรือมียอดจำหน่ายรวม 8.5-9 แสนคัน
สำหรับโตโยต้า ในช่วงหลังจากเกิดปัญหาในปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำตลาดยุคใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนำระบบออนไลน์มาร์เก็ตติ้งมาใช้ หรือการติดตั้งระบบที-คอนเนคต์เพื่อให้สามารถพิจารณาสินเชื่อให้กับผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการปรับแผนงานทางด้านตัวสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างต่อเนื่อง และยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มที่แตกต่างกันออกไปได้ รวมถึงการทำตลาดที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละตัวสินค้า
ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มรถยนต์นั่งระดับกลางที่มีความโดดเด่นในกลุ่มตลาดฟลีต ก็จะเดินหน้าอย่างเข้มข้นขึ้น ตลาดรถยนต์อีโคคาร์ที่คู่แข่งเปิดตัวในช่วงปลายปี ก็มีการปรับผลิตภัณฑ์ให้แข่งขันได้มากขึ้น หรือตลาดรถยนต์ไฮบริดและปิกอัพที่เปิดตัวไปก็เช่นเดียวกัน
"ในปีนี้จะเป็นปีที่เราพยายามปรับแผนงานอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะสามารถกลับมาทำตลาด สร้างยอดขายเพื่อรักษาตำแหร่งผู้นำตลาดได้อีกครั้ง เราเองมีเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายที่เข้มแข็งที่สุดในประเทศไทยที่พร้อมดูแลลูกค้า และดีลเลอร์ทุกคนก็มั่นใจว่าจะฟื้นยอดขายกลับมาได้แน่นอน"
การลงทุนในช่วงต่อจากนี้ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า
เมื่อมีคำถามถึงแผนการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะกระแสข่าวว่าอินโดนีเซียกำลังจะแย่งการลงทุนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า ยามาชิตะระบุว่าโครงการรถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นกระแสมาจากการลงมลพิษจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เริ่มเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น
โตโยต้านั้น มุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งเพื่อบรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลไทยได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือ ลูกค้าจะเป็นผู้เลือกเองว่าจะใช้งานรถยนต์อีวีรูปแบบไหน ขึ้นกับความต้องการและระบบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหลายสิ่งเป็นเรื่องที่โตโยต้าไม่สามารถกำหนดหรือแก้ไขได้
"เราได้พยายามพัฒนาเทคโนโลยีในทุกรูปแบบเพื่อนำเสนอทางเลือกให้กับผู้บริโภค ในประเทศไทย เรามีการขายรถยนต์ไฮบริดไปมากกว่า 1 แสนคัน มีการผลิตและบริหารจัดการแบตเตอรี่ทั้งระบบ เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าโครงการต่าง ๆ และรักษาสิทธิประโยชน์เอาไว้ร่วมกันได้"
เป้าหมายของผู้บริหารใหม่ในเมืองไทย
เนื่องจากเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งไม่นาน มีคำถามถึงเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของเอ็มดีใหม่ในประเทศไทย ยามาชิตะระบุว่า โตโยต้านั้นมุ่งบริหารไปที่การส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าชาวไทย ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคม ซึ่งจะยังเป็นเป้าหมายหลักของบริษัทต่อไป
"เรามองประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกขนาดใหญ่ และยังเป็นฐานการพัฒนารถยนต์ที่สำคัญสำหรับภูมิภาคอาเซียน ที่ผ่านมา เราได้สร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายผู้จำหน่าย ให้มีความพร้อมในการส่งมอบความสุขให้กับผู้บริโภค ตามวิสัยทัศน์ที่วางเอาไว้"
นอกจากนี้ ในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์โลกมีการเปลี่ยนแปลงในรอบกว่า 1 ศตวรรษ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เอง ได้มีการประกาศแนวทางจากการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไปเป็นผู้สร้างสรรค์สังคมแห่งการขับเคลื่อน และประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในแผนงานนี้อย่างแน่นอนในอนาคต