เมื่อใดที่สถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ทุเลาลง ผู้คนจำนวนมากก็คงจะตัดสินใจที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ การขับรถไปขึ้นชมยอดภู หรือดอยต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่ชื่นชอบวิวสวย ๆ และอากาศที่สงบร่มรื่น
แต่บ่อยครั้งก็เกิดปัญหาขึ้น จากความไม่เข้าใจของผู้ใช้รถใช้ถนนกับการขับขี่กลับลงมาจากภูเขาบนทางลานชัน อันทำให้เกิดอุบัติเหตุและความสูญเสียอยู่บ่อยครั้ง
วันนี้ บอริสจะมาอธิบายว่า เพราะเหตุใด การขับขี่รถลงทางลาดชัน จึงมีเทคนิคกับระบบเกียร์ที่ต้องใช้ และวิธีขับขี่ที่ถูกต้องเพื่อให้ทุกท่านปลอดภัยจากอุบัติเหตุ รวมไปถึงสาเหตุที่อาจทำให้เกิดการสูญเสียอีกด้วย
Brake Fade ภัยเงียบที่อาจมาถึงท่านได้ถ้าไม่เข้าใจ
สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถลงเขา ที่เกิดขึ้นบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ นอกเหนือจากการใช้ความเร็วมากเกินไปในการเข้าโค้งแล้ว ยังมีต้นเหตุที่เบรกซึ่งอาจจะทำให้การชะลอความเร็วไม่สามารถได้ด้วย Brake Fade ซึ่งคนไทยก็มักจะทับศัพท์ว่า เบรกเฟด หรืออาจจะใช้คำใกล้เคียงอย่างเช่น เบรกไหม้ เป็นต้นเหตุของสิ่งที่เราได้ยินข้อสรุปว่าคือการ “เบรกแตก” ในมุมมองของเขา “เบรกแตก” ไม่ใช่เพียงแค่การสูญเสียแรงเบรกจากท่อน้ำมันเบรกที่ชำรุดจนแรงดันตก แต่หมายถึงทุกกรณีที่เบรกนั้นไม่ทำงาน
Brake Fade เป็นคำรวมที่ใช้เรียกได้ 2 อาการ อย่างแรกคือ อาการที่ความร้อนจากเบรกนั้นสะสมอยู่ในระบบ ทำให้น้ำมันเบรกเดือดกลายเป็นไอ ไม่สามารถอัดแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าในระบบนั้นมีความชื้นอยู่มาก อาการนี้จะทำให้ระบบเบรกนั้นทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
นอกเหนือจากนั้น ผ้าเบรกยังเป็นสิ่งที่มีช่วงของอุณหภูมิที่สามารถทำงานได้ดีที่สุด ถ้าหากอุณหภูมิของผ้าเบรกเลยช่วงนั้นไปแล้ว ก็อาจจะส่งผลทำให้ Brake Fade ได้
อาการเบรกหาย เกี่ยวข้องกับการใช้เกียร์ D หรือ N อย่างไร?
ทุกครั้งที่เบรกทำงาน ผ้าเบรกจับกับจานจนเกิดการเสียดสีนั้น จะเกิดความร้อนสะสมในระบบ ทั้งในตัวน้ำมันเบรก จานเบรก และผ้าเบรก ทุกส่วนนั้นล้วนแล้วแต่ส่งผลให้เกิดสภาวะที่อธิบายไปด้านบนแล้วทั้งสิ้น
แต่ถ้าหากเราไม่ใช่เบรกแล้ว เราจะชะลอรถเพื่อเข้าโค้งได้อย่างไร? ถ้าหากเราไม่พัฒนาฝีมือของตนเองจนเป็นนักซิ่ง Downhill Master ซึ่งสามารถเข้าโค้งได้โดยไม่ต้องชะลอแล้ว ก็มีทางเลือกอยู่ นั่นคือ การใช้ Engine Braking เข้ามาช่วยชะลอรถ
Engine Braking คือสภาวะที่เมื่อเรายกเท้าออกจากคันเร่งให้รถไหลไปเรื่อย ๆ เครื่องยนต์ของรถจะต้องพยายามหมุนสู้กับสภาวะสุญญากาศในระบบ ทำให้รอบเครื่องยนต์ตกลง และรถก็ชะลอลงตามไปด้วย
เมื่อใช้ควบคู่กับอัตราทดเกียร์ที่สร้างมาเพื่อให้รอบเครื่องยนต์สามารถปั่นได้สูงขึ้น คงอยู่ในช่วงพละกำลัง Powerband ขณะกำลังขึ้นเขา แปลว่าเครื่องยนต์หมุน 1 รอบ ล้อก็จะหมุนน้อยกว่า 1 รอบ
เมื่อเราสังเกตเห็นเลขอัตราทดเกียร์ เช่น เกียร์ 1 4.000:1 นั่นหมายความว่าเครื่องยนต์หมุน 4 รอบ ล้อก็จะหมุนเพียงรอบเดียว และนั่นทำให้ความเร็วสูงสุดในเกียร์นี้ถูกจำกัดเอาไว้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อรวมกับสภาวะที่เครื่องยนต์ต้องหมุนสู้กับการปิดลิ้นเร่ง จะช่วยให้เราสามารถชะลอรถได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ระบบเบรกแบบปกติ
แล้วทำไมถึงไม่ให้ใช้เกียร์ D หรือ N ในการขับรถลงเขา?
การขับรถลงเขา สร้างภาระให้กับระบบเบรกมากที่สุด เพราะต้องต่อสู้กับแรงโน้มถ่วง การใช้ Engine Braking จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
รถยนต์สมัยใหม่ที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ ถ้าหากเราคาเกียร์ D เอาไว้ เมื่อใดที่เรายกคันเร่ง รถก็จะเปลี่ยนเกียร์ให้เป็นเกียร์สูงที่สุดเท่าที่จะใช้ได้ในทันที และระบบตรวจจับการใช้งานเกียร์ ที่อาจช่วยให้คารอบไว้อย่างเหมาะสมมากกว่า ไม่สามารถที่จะคาดเดาทางชันได้ดีขนาดนั้น และนั่นแปลว่า รถจะเกิดสภาวะ Engine Braking ที่น้อย
และแย่ไปกว่านั้น หลายท่านยังนิยมที่จะใช้วิธีเข้าเกียร์ว่าง หรือ N แทนการใช้ D เนื่องจากความเชื่อที่ว่ารถจะประหยัดน้ำมันมากกว่า การทำเช่นนี้จะส่งผลให้ระบบส่งกำลังไม่เชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ และรถไหลลงเนินไปได้ตามที่เขาอยากไป ไม่มีอะไรมาหน่วงรั้งไว้ ยกเว้นเบรกเท้าที่แม้จะมีเครื่องช่วย ก็ต้องทำงานหนักอยู่แล้ว
แน่นอนครับว่าเบรกของรถสมัยใหม่นั้นมีความทนทานต่อความร้อนมากกว่าในอดีตเยอะ และการลงเขาก็มีหลายระดับที่อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เกียร์ต่ำช่วย อีกทั้งรถหลายรุ่นก็ไม่มีตัวเลือกการลดเกียร์ต่ำ อย่างเช่น Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) ซึ่งก็เป้นเรื่องที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักหน่วง
แต่ถ้าหากอาการ Brake Fade มาในขณะที่กำลังลงเนินชันเมื่อไหร่ เราอาจจะไม่มีโอกาสที่สองที่จะได้พักเบรกนะครับ
นอกเหนือจากไม่ควรใช้เกียร์ D และ N เราไม่ควรใช้พฤติกรรมนี้อีก
หลายท่าน เวลาขับขี่รถยนต์บนทางราบในเมือง มักจะคาเท้าไว้ที่แป้นเบรกเพื่อที่จะตอบสนองต่ออุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจจะโผล่มาบนท้องถนน และอาจจะเบรกชะลอเตรียมไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย
การขับขี่แบบนี้ จะส่งผลให้เกิดอันตรายถ้าหากใช้วิธีเดียวกันในการขับขี่ลงเขา เนื่องจากความร้อนที่สะสมในเบรก จะเกิดจากแรงเสียดสีของผ้าเบรกกับจานเบรกอยู่ตลอดเวลา
วิธีใช้เบรกอย่างถูกต้องขณะขับขี่ลงเขา คือ เหยียบเบรกให้แรงเท่าที่ควรจะทำ ในที่ที่ควรทำ ปล่อยเบรกเพื่อที่จะให้อากาศสามารถเข้ามาระบายความร้อนได้ในที่ที่ไม่จำเป็นต้องเบรก
นอกเหนือจากนี้ การเปลี่ยนน้ำมันเบรกทุก ๆ 2 ปี ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก เพราะน้ำมันเบรกมีคุณสมบัติที่จะสะสมความชื้นเอาไว้ได้ และระยะเวลา 2 ปี ก็ค่อนข้างนานพอตัว และถ้าหากต้องขับรถไปลุยน้ำท่วมเมื่อใด ก็ควรที่จะเข้าอู่ไปรับบริการถ่ายน้ำมันเบรกในทันที
สรุป
ในการขับรถลงเขา การบำรุงรักษาเบรกให้ใช้งานได้ดี เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ต่อให้เบรกอยู่ในสภาพที่ดีพร้อม 100% ถ้าหากเราใช้งานรถผิด ไม่เข้าใจถึงเทคนิคที่ควรจะทำ ระบบเบรกก็ไม่สามารถรองรับได้แบบไม่สิ้นสุด เราจึงต้องเรียนรู้ทั้งสองแนวทางควบคู่กันไป เพื่อสวัสดิภาพที่ดีของตัวเราเอง