แน่นอนว่า โตโยต้า ยาริส (Toyota Yaris) คือหนึ่งในรถยนต์ยอดนิยมของคนไทยมานับตั้งแต่ยังไม่เข้าโครงการอีโคคาร์ เพราะตั้งแต่เปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคม 2556 เป็นต้นมา รถยนต์รุ่นนี้มียอดจำหน่ายไปแล้วมากกว่า 2.38 แสนคัน ไม่ว่าจะด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์โตโยต้า การออกแบบรถยนต์ได้น่าใช้ลงตัว รวมถึงในรุ่นใหม่ ๆ ก็มีการผสานของเล่นใหม่ ๆ และเทคโนโลยีเข้าไปอย่างมากมาย
อะไรที่เปลี่ยนไปบ้างสำหรับรุ่นใหม่ล่าสุด
สำหรับรุ่นล่าสุดของโตโยต้า ยาริส ซึ่งถือเป็นหัวหอกในการตะลุยโครงการอีโคคาร์ เฟสสอง (2nd Eco Car) ในประเทศไทยนั้น เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งที่มีมากหน้าหลายตา พวกเขาได้ทำการปรับเครื่องยนต์รุ่นใหม่ให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้น พร้อมทั้งยังใส่อุปกรณ์ของเล่นใหม่ ๆ เข้าไปมากมาย โดยมีการปรับราคาเพิ่มจากรุ่นเดิมน้อยมาก โดยฟังชั่นที่พวกเขาภาคภูมิใจมากที่สุดก็คือกล้องบันทึกภาพหน้า-หลัง ที่สามารถทำงานได้หากเซนเซอร์จับพบการสั่นสะเทือน แม้จะดับเครื่องยนต์อยู่ก็ตามที
7 เหตุผลที่คุณควรซื้อรถยนต์คันนี้ - Pros
1.ราคาคุ้มค่ามากขึ้น
อย่างที่บอกไปแล้วว่า แม้จะมีการเพิ่มราคาจำหน่ายมาอีกเล็กน้อย แต่หากเปรียบเทียบกับอุปกรณ์มากหน้าหลายตาที่ใส่เข้ามา ถือว่ามีความคุ้มค่ามาก เพราะโตโยต้า (Toyota) เองก็รู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถทำราคาสูงไปกว่านี้ได้ การได้รถยนต์ราคา 5.39-6.49 แสนบาทไปใช้ ก็ถือว่ามีความคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย
2.ความสบายใจในแบรนด์โตโยต้า
ไม่ใช่แค่การเป็นผู้นำตลาดรถยนต์นั่งในประเทศไทย หรือการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์อีโคคาร์ แฮชท์แบ็ค แต่ยังรวมไปถึงความสบายใจในการเป็นเจ้าของ ด้วยเครือข่ายศูนย์บริการมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศไทย และยอดขายระดับนี้ มั่นใจได้อย่างหายห่วงว่ามีอะไรพร้อมรอให้บริการอย่างแน่นอน
3.ความปลอดภัยที่เหนือชั้น
เพราะเป็นรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์ เฟสสอง ทำให้ Toyota Yaris ต้องมีการอัพเกรดมาตรฐานด้านความปลอดภัยกันอย่างเต็มพิกัด ทำให้มีถุงลมนิรภัย 7 ลูกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แถมยังได้รับการรับรองความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จากอาเซียน เอ็นแคป (ASEAN NCAP) เป็นประกันอีกด้วยนะ
4.รุ่นย่อยที่หลากหลายสำหรับลูกค้า
โตโยต้า ยาริส แฮชท์แบ็ค มาพร้อมกับรุ่นย่อยที่แตกต่างกัน 3 รุ่น ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะเริ่มต้นจ่ายน้อยที่รุ่นเอนทรี (Entry) หรือต้องการเพิ่มอุปกรณ์มากหน่อยในรุ่นมิด (Mid) และหากต้องการออพชั่นแบบจัดเต็มเทียบชั้นรุ่นพี่ก็มีรุ่นไฮ (Hi) ให้เลือกได้อีกต่างหาก
5.เครื่องยนต์รุ่นใหม่ไฉไลมากขึ้น
โตโยต้า ตัดสินใจอัพเกรดเครื่องยนต์ในรถอีโคคาร์ของพวกเขา ด้วยการนำเครื่องยนต์ดูอัล วีวีที-ไออี (Dual VVT-iE) เข้ามาใช้งาน เครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุด 92 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 109 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติซูเปอร์ ซีวีที-ไอ ให้การตอบสนองที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
6.การประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม
นอกเหนือจากสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นแล้ว โตโยต้าประกาศว่ายาริส แฮชท์แบ็คนั้น สามารถให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่สูงถึง 23.3 กม./ลิตร และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการปล่อยมลพิษต่ำ ผ่านการรับรองมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5 เลยทีเดียว
7.ห้องโดยสารแบบสปอร์ตผสมหรูหรา
โตโยต้าเองพยายามจะเอาใจกลุ่มลูกค้าของรถคันนี้ที่กว้างขวาง และได้ทำการพัฒนาห้องโดยสารที่โดดเด่น ด้วยการเลือกใช้วัสดุอย่างหนัง การเดินด้ายแดงเพิ่มความสปอร์ต หรือการเลือกใช้จอแสดงผลข้อมูลแบบจอสี ซึ่งก็ทำให้รถดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
3 สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ – Cons
1.คู่แข่งที่มากหน้าหลายตา
เพราะโตโยต้า ยาริส แฮชท์แบ็คเปิดตัวมาในตลาดก่อนคู่แข่งหลายราย แม้จะทำการปรับปรุงใหม่มาแล้ว ก็ยังไม่น่าสนใจมากพอ เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มาใหม่อย่างนิสสัน อัลเมร่า (Nissan Almera) ฮอนด้า ซิตี้ (Honda City) หรือแม้แต่จะไปเทียบกับมาสด้า 2 (Mazda 2) เองก็ยังยากเลย
2.ไม่มีความโดดเด่นที่ชัดเจน
การออกแบบรถยนต์ของโตโยต้าที่กลายเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของการเอาใจลูกค้าไปซะทุกกลุ่ม ทำให้รถรุ่นที่มีอายุสักเล็กน้อยของพวกเขาดูกลาง ๆ ไม่น่าสนใจไปซะหมด คงต้องรอโฉมใหม่ที่จะมาพร้อมเทคโนโลยีทีเอ็นจีเอ (TNGA) นั่นล่ะมั้ง ถึงจะน่าสนใจมากขึ้น
3.โมเดลนี้ค่อนข้างมีอายุแล้ว
แน่นอนว่าเมื่อคู่แข่งเดินหน้าเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ๆ เข้ามากันมากขึ้น ก็มีคำถามว่าโตโยต้า ยาริส แฮชท์แบ็คที่ปรับปรุงโฉมไปในช่วงปลายปี 2562 จะถึงคิวปรับใหญ่กันเมื่อใด ขอบอกว่าอีกไม่นานมาก รถยนต์รุ่นใหม่เอี่ยมที่มาพร้อมความยอดเยี่ยมที่เพิ่มขึ้นก็จะตามกันมาแล้ว ใครที่ซื้อตอนนี้อาจจะต้องเสียดายกันเลยทีเดียว
สรุป
แม้จะมีข้อติติงเท่าไร แต่โตโยต้าก็ยังเป็นผู้นำตลาดที่หลาย ๆ คนพึงพอใจและไว้วางใจมากกว่า รวมไปถึงโตโยต้า ยาริส แฮชท์แบ็ค ที่ครองแชมป์ในตลาดรถยนต์อีโคคาร์มาอย่างยาวนาน ตัวรถเองแม้จะมีอายุสักนิด และมีข้อจำกัดในการใส่เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ก็เชื่อว่าจะสามารถรักษายอดจำหน่ายไปได้แบบเนิบ ๆ ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่หายไปจากตลาดแน่นอน ใครที่สนใจรถยนต์แบบกลาง ๆ ก็น่าจะตัดสินใจเป็นเจ้าของรถคันนี้ได้ไม่ยากเลยล่ะ