ภายในสัปดาห์นี้ คาดว่ารัฐบาลจะมีการพิจารณาโครงการ 'รถแลกแจกแถม' ที่ฮือฮากันในหมู่ผู้ซื้อรถในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะยังไม่มีความชัดเจนใดใดออกมาจากภาครัฐบาลว่าเนื้อหาการสนับสนุนการใช้งานนั้นจะออกมาในรูปแบบใด และจะมีผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้จำนวนเท่าใด
ถามว่าทำไมถึงฮือฮา ทั้งที่รูปแบบนั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากโครงการประชานิยมรูปแบบอื่น ๆ ที่ให้กันมาเป็นระยะ และหากมองย้อนกลับไปก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างในสาระกับตอนที่พวกเขาเปิดโครงการอื่น ๆ อย่างรถยนต์คันแรก ซึ่งส่งปัญหาตามมามากมายจนถึงปัจจุบันนี้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้เกิดอาการซบเซามาพักใหญ่ ๆ จากผลกระทบของโควิด-19 และเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้มีการชะลอการซื้อรถยนต์ใหม่กันมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีโครงการใหม่ ๆ ของภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยเหลือผู้บริโภคก็ย่อมฮือฮากันเป็นธรรมดา
นอกจากนี้ การที่เงื่อนไขของรัฐบาลเองมุ่งมั่นไปที่การเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถของผู้บริโภค โดยบังคับให้การเข้าร่วมโครงการนี้ จะต้องเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไฮบริด ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก หรือแม้แต่ไฟฟ้า 100% ก็ทำให้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นในเนื้อหา
ทั้งที่เอาจริง ๆ แล้ว โดยส่วนตัวผมกลับมองว่างานนี้ดูแล้วไม่ค่อยน่าจะประสบความสำเร็จในแง่ของการกระตุ้นการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากนัก ถ้ารัฐบาลเองไม่มองภาพรวมทั้งระบบ และหันไปเร่งเครื่องพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานให้เรียบร้อยก่อน ก็จะเป็นการเสียโอกาสจัดเก็บภาษีไปฟรี ๆ
เงื่อนไขเพื่อการครอบครอง 'รถแลกแจกแถม'
แน่นอนว่ายังไม่มีการกำหนดอะไรที่ชัดเจนออกมาในเงื่อนไขนี้ แต่ฟังแล้วเงื่อนไขก็จะคล้าย ๆ กับที่กระทรวงอุตสาหกรรมเคยคิดเอาไว้นานมาแล้ว ด้วยแนวทางเดียวกันคือการกำจัดรถยนต์เก่า ที่ก่อมลพิษออกจากท้องถนน จากนั้นก็แทนที่เข้าไปด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า
และเพิ่มแรงจูงใจให้กับผู้บริโภคด้วยมาตรการทางด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการหาส่วนลดสำหรับการซื้อลดใหม่ การหางบประมาณอุดหนุนการทำลายซากรถยนต์เก่า และแน่นอนว่าจะต้องกลับมาที่มาตรการด้านภาษีที่นำค่าใช้จ่ายไปลดภาษีได้อีก โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรขนาดนี้เสียด้วยซ้ำ
ถ้าไม่มองว่าเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภคที่อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องซื้อรถใหม่ หรืออาจจะไม่มีความสามารถในการชำระค่าตัวของรถยนต์กลุ่มนั้นซึ่งมีราคาแพงกว่ารถยนต์ปกติ แม้รัฐบาลจะกำหนดจำนวนเบื้องต้นเอาไว้ที่ 1 แสนคัน ก็ไม่อยากคิดว่าจะมีหนี้เสียและรถยึดเพิ่มขึ้นขนาดไหน
ย้อนกลับไปตอนโครงการรถยนต์คันแรก แน่นอนว่าโครงการที่เหมือนจะดูดีด้วยการคืนภาษีสำหรับผู้ซื้อรถคันแรก จบลงด้วยการยึดรถครั้งใหญ่จากการผลักดันให้ผู้ที่ไม่มีความพร้อมออกมาซื้อรถ แถมยังส่งผลกระทบต่อราคาจำหน่ายมือสองของรถยนต์หลายรุ่น เรียกว่าแผลยังจาง ๆ เจ็บแปลบ ๆ อยู่
คำถามที่ต้องถามก็คือ ณ ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีความพร้อมของโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่พร้อมสำหรับการใช้งานรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถไฟฟ้าแล้วหรือไม่ ถ้าไม่พร้อม การสนับสนุนของภาครัฐที่อยากเห็นการประหยัดเชื้อเพลิงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้นจะสูญเปล่าหรือไม่
ลดภาษีให้แต่ตอนจบผู้ใช้รถใช้เครื่องยนต์เหมือนเดิม
อย่าว่าแต่การเข้าโครงการรถแลกแถมเลย เอาแค่รถยนต์ที่ขายกันอยู่ในตอนนี้ ที่มีระบบไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้ากันเกือบทุกค่าย ถามว่าผู้บริโภคที่ใช้งานกันอยู่ เข้าใจถึงการทำงานของรถตัวเอง และมีการใช้งานรถได้เต็มประสิทธิภาพอย่างที่รถแต่คันควรจะเป็นหรือไม่
ถ้าถามเจ้าของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดว่ามีการเสียบปลั๊กชาร์จไฟให้กับรถของตัวเองหรือเปล่า เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็ยังคงตอบว่าไม่อยู่ เพราะไม่เห็นความจำเป็นของการใช้ระบบไฟฟ้าในรถเลย ก็ยังวิ่งด้วยเครื่องยนต์ได้นี่หน่า แล้วจะไปเสียบไฟให้ยุ่งยากทำไม มันจำเป็นด้วยหรอ
กลับมามองที่ระบบการชาร์จไฟสาธารณะทั้งจากภาครัฐและเอกชนกันบ้าง บอกเลยว่ายังไงก็ไม่มีความพร้อมในการสนับสนุนให้ผู้บริโภคได้ใช้งานรถยนต์เหล่านี้แบบเต็มรูปแบบ เรียกประชาชนให้มาใช้งานแต่ว่าตอนจบ ทุกคนต่างก็ใช้รถกันแบบเดิม การลดการจัดเก็บภาษีก็ไม่เกิดประโยชน์
ก็พอจะเข้าใจได้ว่าโครงการของรัฐบาลในเรื่องการสนับสนุนให้เกิดการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยความต้องการผลักดันยอดการผลิต 30% ของประเทศไทยเป็นกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จะต้องทำสอดคล้องกันไปในเรื่องของการส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายในประเทศ
แต่ถ้าต้องเลือกใช้โครงสร้างภาษีหรือการขอส่วนลดอัตราพิเศษจากค่ายรถ รวมถึงการนำโครงการที่ยังไม่เห็นรูปธรรมอย่างโครงการกำจัดซากรถเก่ามาใช้เป็นเงื่อนไขในการสนับสนุนการใช้งาน โดยที่ไม่มีนโยบายสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม ดูยังไงก็เป็นโครงการที่ไม่สอดรับกันเท่าที่ควร
GolF ก็ว่า... ปรับโครงสร้างพื้นฐานหนุนการใช้งานอย่างยั่งยืน
โครงการประชานิยมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในอดีตนั้น แม้จะผ่านการคิดค้นมาจากหน่วยงานใดก็ตาม ส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นโครงการระยะสั้น ที่ก่อปัญหาในระยะยาวในแง่ของการบริหารจัดการแทบจะทั้งสิ้น แม้จะมีแนวความคิดที่มาที่ดีขนาดไหนก็ตามในเชิงนโยบาย
รถแลกแจกแถม คือโครงการต่อยอดของการผลักดันให้เกิดการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่สอดคล้องกับความต้องการในการกำจัดรถยนต์เก่าที่มีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนาน ไม่ส่งผลดีต่อทั้งการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพและการกำจัดมลพิษทางอากาศจากการใช้รถ
เพียงแค่ยังรู้สึกแปลก ๆ ที่หากผู้เข้าร่วมโครงการ 1 แสนรายตามที่รัฐบาลต้องการในโครงการนี้ เลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าด้วยการถูกชักจูงผ่านมาตรการทางภาษี โดยไม่ได้มองถึงความเหมาะสมในการใช้งานว่าจริง ๆ แล้ว พวกเขานั้นพร้อมที่จะดูแลรักษารถคันนี้ไปได้หรือไม่
ถ้าซื้อปลั๊กอินไฮบริดแต่ไม่เคยเสียบปลั๊กชาร์จไฟ หรือการใช้รถยนต์ไฮบริดโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลระยะยาว ยิ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่หลาย ๆ คนยังไม่รู้จักกับมันดีเสียด้วยซ้ำ ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาจุกจิกในการใช้งานรถยนต์ใหม่ได้ในระยะยาวแน่นอน
ผมก็สนับสนุนให้ทุกคนใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้านะครับ แต่อยากเห็นการเติบโตแบบยั่งยืน รัฐบาลขยายโครงข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ผู้ประกอบการทำความเข้าใจกับประชาชนให้มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ชัดเจน ถ้าทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ตลาดก็จะเติบโตไปแบบที่ควรจะเป็น
ไม่ใช่ใส่ปุ๋ยทางการเงินเร่งโตแบบนี้ เห็นพังมากี่โครงการแล้วล่ะ ไม่จำกันบ้างเลย...