บอร์ดบีโอไอเดินหน้าสนับสนุนโครงการผลิตรถไฟฟ้าหลายรูปแบบและแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เฟสที่ 2 โดยได้สิทธิประโยชน์เทียบเท่าโครงการแรกที่ปิดรับการส่งเสริมไปก่อนหน้านี้ คาด Great Wall Motors (เกรทวอลล์มอเตอร์ส) เตรียมเสนอตัวรายแรก พร้อมลุ้นผู้พัฒนารายใหม่สนลงทุนเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่าสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เตรียมพิจารณาเพื่อให้การสนับสนุนโครงการการผลิตรถไฟฟ้าเพิ่มเติม จากก่อนหน้าที่มีการเปิดรับการส่งเสริมไปและปิดการขอรับการส่งเสริมไปแล้วในช่วงปี 2561 โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมและได้รับการส่งเสริมไปแล้วทั้งสิ้น 26 ราย
ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เปิดเผยว่า บอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนรอบใหม่ สำหรับกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก สอดคล้องกับนโยบายการผลักดันอีวีของภาครัฐ
ก่อนหน้านี้ ในปี 2560 - 2562 บีโอไอได้อนุมัติโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดไปแล้ว 26 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 78,099 ล้านบาท โดยมี 7 โครงการที่มีการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว แบ่งเป็นประเภทกิจการ HEV (Hybrid Electric Vehicles) 3 ราย ได้แก่ นิสสัน ฮอนด้า และโตโยต้า ประเภทกิจการ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicles) 2 ราย ได้แก่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู
กิจการประเภทกิจการ BEV (Battery Electric Vehicles) 2 ราย ได้แก่ ฟอมม์ และทาคาโน นอกจากนี้ ยังมีผู้ผลิตชิ้นส่วนสำคัญที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนแล้วจำนวน 14 โครงการ โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า 10 โครงการ ซึ่งบีโอไอคาดการณ์ว่าการสนับสนุนการลงทุนเฟสสองจะทำให้มีผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการมากขึ้นในอนาคต
เปิดทาง GMW พร้อมดึงเงินลงทุนรายใหม่
แหล่งข่าวในวงการรถยนต์เปิดเผยว่าการที่บีโอไอออกมาประกาศสนับสนุนโครงการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า เฟสที่สอง ก็เนื่องจากมองว่ามีผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีความพร้อมจะลงทุนในโครงการดังกล่าวมากขึ้น ประกอบกับรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นแนวทางการพัฒนารถยนต์ในอนาคต ทำให้มีผู้ประกอบการเกิดใหม่หลายรายที่ต้องการร่วมลงทุน
อาทิ Great Wall Motors (เกรทวอลล์มอเตอร์ส) ค่ายรถยักษณ์ใหญ่จากประเทศจีน ที่เพิ่งเปิดสายการผลิตในประเทศไทย จากการเข้าซื้อกิจการของเชฟโรเลตไปก่อนหน้านี้ ก็มีสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ ORA (โอรา) ที่มีการให้ข่าวมาแล้วหลายครั้งว่าพวกเขาสนใจที่จะทำตลาดรถยนต์ประเภทดังกล่าวในประเทศไทย หลังการเปิดตัวรถตลาดรุ่นอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการที่สนใจจะเข้าร่วมและอยู่ระหว่างการเจรจา โดยเฉพาะในส่วนของรถประเภทอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ หรือธุรกิจสนับสนุนประเภทอื่น ๆ รวมถึงการศึกษาช่องทางดูดการลงทุนรายใหม่ ที่มีกระแสข่าวว่าต้องการไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซีย ให้พิจารณาประเทศไทยเช่นกัน
EVAT ชี้ไม่กระทบผู้ลงทุนรายเดิม
กฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) เปิดเผยว่าการที่รัฐบาลเตรียมเปิดให้การสนับสนุนโครงการเฟสสองเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากเป็นการเปิดทางให้ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ สามารถเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้มากขึ้น และคาดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุนของผู้ประกอบการรายเดิม ๆ เนื่องจากมีกรอบเวลาการลงทุนที่เหมาะสมอยู่แล้ว
"การเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาลงทุนในโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการพัฒนา และคิดว่าผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนไปก่อนหน้านั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะการลงทุนมีกรอบเวลาที่ชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการลงทุนได้ด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสม และเป็นเรื่องที่ดีกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย"
Mercedes-Benz ลั่นดันไทยเป็นฮับรถไฟฟ้า
โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รัฐบาลไทยประกาศสนับสนุนโครงการรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางบริษัทได้เจรจากับรัฐบาลไทยมาอย่างยาวนาน ในเรื่องของการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งอยู่ในแผนงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์เช่นเดียวกัน
"มาถึงตอนนี้ ผมยังมีความมั่นใจจากการที่ได้พูดคุยกับเดมเลอร์ เอจี มาโดยตลอด ว่าเรามีความต้องการผลักดันให้ประเทศไทยขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านการผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับโลก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นโครงการที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทุกอย่างยังเดินหน้าตามแผนงานที่เราวางเอาไว้เช่นเดิม และจะได้เห็นอย่างแน่นอนในอนาคต"
เฟสสองเดินหน้าหนุนอีวีทุกรูปแบบ
ไม่ใช่แค่เพียงรถยนต์หรือสถานีประจุไฟฟ้าอีกต่อไป แต่ที่ประชุมบีโอไอนั้น ได้เปิดเป้าหมายในการส่งเสริมยานพาหนะไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ รถโดยสารและรถบรรทุก รวมถึงเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จากเดิมที่มีการส่งเสริมเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าและรถโดยสารไฟฟ้า โดยมีสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้
1.กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า มุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่เป็นหลัก (Battery Electric Vehicles: BEV) แต่ให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมควบคู่ไปด้วยกันได้ ในกรณีที่มีขนาดการลงทุนไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และหากมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาก็สามารถได้รับสิทธิเพิ่ม
การลงทุนน้อยกว่า 5,000 ล้านบาท จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากเริ่มผลิตรถยนต์ภายในปี 2565 มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญเพิ่มเติมจากข้อกำหนดพื้นฐาน มีการผลิตจริงมากกว่า 1 หมื่นคันต่อปี และถ้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicles (PHEV) จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ทั้งนี้ต้องการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 3 ชิ้น
2.กิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เริ่มผลิตภายในปี 2565 มีการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่เริ่มจากขั้นตอนโมดุล มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น Traction Motor และมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อสนับสนุนกิจการลงทุนรูปแบบดังกล่าว
3.กิจการผลิตสามล้อไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด 4.กิจการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด หรือมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา
ทั้งนี้ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ทุกประเภท ผู้ลงทุนจะต้องเสนอแผนงานรวมทั้งหมดเพื่อการพิจารณาโครงการ เช่น โครงการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ โครงการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า แผนการนำเข้าเครื่องจักรและติดตั้ง แผนการผลิตในระยะ 1 – 3 ปี แผนการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วนอื่น ๆ และแผนการพัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบในประเทศไทย เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังปรับปรุงขอบข่ายและสิทธิประโยชน์ของประเภทกิจการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ โดยเพิ่มเติมรายการชิ้นส่วนสำคัญอีก 4 รายการ ได้แก่ 1) High Voltage Harness 2) Reduction Gear 3) Battery Cooling System และ 4) Regenerative Braking System พร้อมทั้งปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้มากขึ้นสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ที่มีการลงทุนในขั้นตอนที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
โดยให้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ไม่มีการผลิตในประเทศ ในอัตราร้อยละ 90 เป็นระยะเวลา 2 ปี ในกรณีที่มีขั้นตอนการผลิตโมดุลหรือเซลล์ และสนับสนุนประเภทกิจการต่อเรือหรือซ่อมเรือ ให้ครอบคลุมถึงการผลิตเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี