การใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสักคันในประเทศไทยในยุคปัจุบันนั้น ต้องประสบกับปัญหาและคำถามมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้งานจริง ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ การชาร์จไฟเป็นอย่างไร และหากนำมาใช้ในการเดินทาง จะถือว่าใช้งานได้จริงหรือไม่ในสถานการณ์ปัจจุบัน
MINI (มินิ) ถือเป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ที่มีความมุ่งมั่นในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง พวกเขาส่งรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง MINI Cooper SE (มินิ คูเปอร์ เอสอี) ทำตลาดในประเทศไทยมาแล้ว 2 รุ่น ซึ่งแม้จะมียอดจำหน่ายไม่มากมาย แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นยุคแรก ๆ ของยานยนต์ไฟฟ้าในไทย
ล่าสุด พวกเขาได้จัดทริปเพื่อพาสื่อมวลชนไปทดสอบการใช้งานจริงของรถยนต์คันนี้ โดยได้มีการจำลองสถานการณ์ว่าหากเราต้องการนำรถคันนี้ออกไปต่างจังหวัดเพื่อท่องเที่ยว และแวะชาร์จไฟตามสถานที่ต่าง ๆ จะมีความสะดวกมากน้อยเพียงใดในการใช้งานจากประสบการณ์จริงของผู้ขับขี่
AutoFun Thailand นั้นเคยนำเจ้ามินิไฟฟ้ามาทดสอบแล้วก่อนหน้านี้ และพบว่าเป็นรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมน่าใช้งานคันหนึ่งตามมาตรฐานของมินิ มีการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม มาพร้อมระบบการชาร์จไฟแบบไวที่รอบรับถึง 50 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ชาร์จไว้จาก 0-80% ในเวลาประมาณ 30-40 นาที
ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จไฟประมาณ 200 กิโลเมตรบวกลบ หรืออาจจะลดลงมาเหลือ 170-180 กิโลเมตรหากเค้นสมรรถนะของรถอย่างต่อเนื่อง เพียงพอต่อการเดินทางออกไปต่างจังหวัดแล้วแวะชาร์จไฟไปเรื่อย ๆ ซึ่งในครั้งนี้ เราได้ทำการทดลองสถานีชาร์จไฟฟ้าทั้ง 3 แบรนด์ที่ทำตลาดอยู่
ไม่ว่าจะเป็น Elex by EGAT สถานีชาร์จไฟของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต PEA Volta ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ EA Anywhere บริษัทเอกชนเพียงหนึ่งเดียวที่เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ และพบว่ามีข้อดี-ข้อด้อยของสถานีแต่ละแห่งนอกเหนือจากการชาร์จไวที่ปล่อยกระแสไฟไม่เท่ากัน
เลยอยากแชร์ประสบการณ์ว่าหากต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อใช้งานจริง อาจจะต้องวางแผนการเดินทางและเลือกสถานีชาร์จตามรายทางให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานของเจ้าของรถเสียก่อน ซึ่งแต่ละคนก็มีความต้องการและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไปอยู่แล้ว
มาออกเดินทางไปพร้อมกันได้เลยครับ...
ก่อนออกเดินทางโหลดแอพให้เรียบร้อย
ไม่ว่าคุณจะวางแผนไปใช้บริการของค่ายไหนก็ตามที สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือการโหลดแอพพลิเคชั่น พร้อมทำการลงทะเบียนให้เรียบร้อย และศึกษาวิธีการจ่ายเงินของแต่ละตู้ให้เรียบร้อยเสียก่อน เพื่อไม่ให้เสียเวลาวุ่นวายระหว่างการเดินทาง เพราะแค่ต้องไปรอชาร์จไฟก็นานมากพออยู่แล้ว
โดยหลัก ๆ แล้วการชาร์จไฟนั้นทำได้ไม่ยาก ปกติก็จะแค่เปิดแอพพลิเคชั่น สแกนคิวอาร์โค๊ด แล้วก็เสียบปลั๊กก็พร้อมชาร์จ ยกเว้นของอีเอที่ต้องล็อกรถให้เรียบร้อยด้วยเพื่อเริ่มการชาร์จไฟ อันนี้ก็เป็นข้อกำหนดจุกจิกที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดในการใช้งานของแต่ละตู้
และเมื่อชาร์จเสร็จแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะต้องชำระเงินให้เรียบร้อยก่อนที่จะดึงสายชาร์จออก ยกเว้นตู้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่สามารถดึงออกมาก่อนได้เลยแล้วค่อยกดจ่ายเงิน อันนี้ถือเป็นจุดที่ต้องปรับปรุง เพราะถ้าเจอลูกค้าไม่ยอมกดจ่ายเงิน ก็ต้องไปตามล่าหาตัวกันต่อไปอีกนะ
จ่ายเงินง่ายสุด ขอยกให้ Elex by EGAT
หากคุณไม่มีบัตรเครดิตหรือไม่ต้องการฝากเงินไว้กับระบบใดใด อีเลกซ์ บาย อีแกต คือตู้ชาร์จไฟใจดีที่ให้คุณจ่ายเงินได้ง่าย ๆ ผ่านคิวอาร์โค๊ด พร้อมเพย์ หรือบัญชีของธนาคารได้แบบไม่ติดขัด แอพพลิเคชั่นชัดเจนสวยงาม และที่ตั้งก็อยู่ในปั้มน้ำมันให้มีที่นั่งรอได้ง่าย ๆ อีกด้วย
สมัครสมาชิกและฝากเงินไว้ให้อุ่นใจกับ PEA Volta
ระบบการจ่ายเงินของพีอีเอ โวลต้า จะเป็นรูปแบบของการฝากเงินไว้ในระบบของแอพพลิเคชั่น ซึ่งเราจะต้องทำการฝากเงินเข้าไปให้เรียบร้อยก่อนเริ่มต้นชาร์จไฟรถยนต์ เริ่มต้นที่ 200 บาท และหากใช้ไม่หมด ก็จะต้องคงเงินค้างไว้ในระบบเพื่อไปใช้ในอนาคตสำหรับการชาร์จครั้งต่อไป
ยุ่งยากนิดหน่อยเพราะต้องใช้บัตรเครดิตกับ EA Anywhere
ดูเหมือนจะเป็นความยุ่งยากด้านการจ่ายเงินที่สุดสำหรับอีเอ เอนี่แวร์ ที่จะต้องทำการสมัครและลงทะเบียนบัตรเครดิตเท่านั้นในตอนนี้ และก่อนที่จะชาร์จ จะมีการหักวงเงินสำรองจากบัตรเครดิตตามยี่ห้อของรถที่ลงทะเบียนตั้งแต่ 400-800 บาทอีกด้วย เอาตรง ๆ คือมันดูวุ่นวายไปสักนิดนึง
รถไฟฟ้าน่าใช้นะ แต่ระบบมันวุ่นวายและไม่พร้อม
เอาจริง ๆ จากการลองใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ 1 วัน เรื่องที่ต้องบอกว่าประทับใจมากก็คือความประหยัด เพราะแม้แต่คุณจะใช้รถอีโคคาร์ที่ว่าประหยัด ๆ แต่ค่าใช้จ่ายเพียง 300 บาทต่อการวิ่งกรุงเทพฯ-เขาใหญ่ ไป-กลับ นั้นถือว่าน่าประทับใจอยู่ไม่น้อยในเรื่องนี้
แต่หากแลกด้วยระยะเวลาที่ต้องเสียไปกับการรอชาร์จไฟ เอาง่าย ๆ เราแวะชาร์จไฟ 3 สถานี คิดเฉลี่ยสถานีละ 30-40 นาที รวม ๆ กันก็เกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งถ้าเป็นสถานีในปั้มน้ำมันที่มีร้านกาแฟหรือที่ให้เดินเล่นก็พอทำใจได้ แต่ที่ชาร์จบางทีอยู่ในป่าในเขาเลย ก็ต้องนั่งรอกันไป
นอกจากนี้ แอพพลิเคชั่นแต่ละอันนั้น หากสามารถนำมารวมกันได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก ได้ข่าวว่ามีผู้เสนอตัวเป็นแกนนำในการรวบรวมแอพพลิเคชั่นทั้งหมดอยู่ หากสามารถมารวมกันและหาแนวทางในการชำระเงินที่เป็นกลางได้แบบง่าย ๆ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้งานมากที่สุด
ไม่แน่ใจว่าปกติแล้ว บรรดาหัวชาร์จทั้งหมดนั้นจะเปิดให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบไม่เสียหายแบบวันที่เราไปทดสอบกันหรือไม่ เพราะหากผู้ใช้งานวางแผนเอาไว้ว่าจะไปชาร์จที่สถานีนั้น ๆ แต่พอไปถึงแล้วไม่สามารถชาร์จไฟได้ ก็อาจจะเกิดปัญหาในการเดินทางได้เหมือนกัน
รถยนต์ไฟฟ้านั้นเป็นเรื่องของอนาคตแน่นอนในประเทศไทย เพราะหากไม่มีความพร้อมในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคที่มาสนับสนุนการใช้งาน ลองคิดเล่น ๆ ถ้ามีรถจะไปชาร์จไฟพร้อมกัน 10 คันในสถานีที่มีที่ชาร์จ 2 หัว แค่คิดว่าเราเป็นคันที่ 10 ก็เหนื่อยแทนผู้ใช้งานจริงแล้ว
รถดีน่าใช้งาน แต่ถ้าไม่พร้อมก็เหนื่อยเหมือนกันนะ!!!