สหภาพยุโรปเตรียมเดินหน้าแผนงานหลักในการแบนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในทั้งหมด ห้ามจำหน่ายตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป เพื่อเป็นไปตามเป้าหมายการลดมลภาวะจากยานยนต์ลง 65% ภายในปี 2030 และเหลือ 0% ในปี 2035
ภายใต้แผนการพัฒนาเพื่อเป็นทวีปที่ไม่ก่อมลพิษเป็นทวีปแรกในโลกนี้ภายในปี 2050 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 55% จากปี 1990 ซึ่งจะต้องทำให้สำเร็จภายในปี 2030 และถือเป็นภาระเร่งด่วนที่ทุกคนร่วมมือกัน
ไม่ใช่แค่การลดการใช้งานรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในเท่านั้น มีรายงานว่าแผนงานของสหภาพยุโรปยังรวมไปถึงความร่วมมือกันระดับรัฐ ในการผลักดันโครงการสนับสนุนด้านต่าง ๆ รวมไปถึงการสร้างสถานีประจุไฟฟ้าให้มากพอ
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
ทำไมรถยนต์ถึงเป็นเป้าหมายหลัก
มีการระบุอย่างชัดเจนว่า หากต้องการปลอดมลพิษในปี 2050 พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากการแบนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างช้าที่สุดตามแผน ทำให้เกิดคำถามว่ารถยนต์นั้นเป็นปัจจัยหลักของการก่อมลพิษจริง ๆ หรือไม่
ตลาดรถยนต์นั่งนั้น ก่อมลพิษคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 12% ในสหภาพยุโรป และเป้าหมายที่จะต้องลดมลภาวะลง 37.5% ภายใน 9 ปีข้างหน้า ซึ่งมีการประเมินว่าเป็นไปได้ยากมาก แม้ว่าค่ายรถจะนำเสนอรถปลั๊กอินไฮบริดกันมากขึ้น
ดังนั้น รถยนต์ไฟฟ้าจึงมีความจำเป็นและเป็นที่ต้องการสำหรับเป้าหมายดังกล่าว และแน่นอนว่ามีการประเมินเช่นกันว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าน่าจะเติบโตเป็นอย่างมากในช่วงต่อจากนี้ และค่ายรถก็ต้องเร่งเครื่องในการพัฒนาสินค้าเช่นกัน
แล้วประเทศไทยเราจะอยู่ตรงไหนกัน
สำหรับประเทศไทย ภาครัฐมีแผนงานที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามแผนงานของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อผลักดันให้ปี 2030 ผลิตอีวี 30% ของการผลิตรถยนต์ในไทย
เมื่อถึงเวลานั้นการผลิตรถยนต์ไทยในปีนั้นจะอยู่ที่ 2.5 ล้านคัน ทำให้ต้องผลิตรถไฟฟ้าถึง 7.5 แสนคัน โดยเแบ่งออกเป็นระยะสั้น (2020-2022) ผลิตรถสำหรับรถราชการ รถสาธารณะ รถจักรยานยนต์สาธารณะ 6 หมื่น - 1.1 แสนคัน
จากนั้นในระยะกลาง (2021-2025) จะผลักดันอีโค อีวี หรือรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวน 1-2.5 แสนคัน พร้อมกับการผลักดันสมาร์ท ซิตี้ บัส จำนวน 3 แสนคัน และในระยะยาว (2026-2030) จะผลักดันใตามแผนงานที่วางไว้
และภาครัฐจะเร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยการส่งเสริมสถานีอัดประจุไฟฟ้า โดยใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบคงที่ 2.6369 บาทต่อหน่วย และเร่งตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะภายในรัศมี 50-70 กิโลเมตร ครอบคลุมการเดินทางระยะไกล
สำหรับประเทศไทย มีผู้สนใจเสนอตัวเพื่อผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 16 บริษัท รวม 26 โครงการ โดยมียอดการผลิตรวมกันกว่า 5.6 แสนคัน และอยู่ระหว่างพิจารณาในส่วนของสามล้อไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติม
นอกจากนี้ บีโอไอได้ประกาศเดินหน้าสนับสนุนโครงการผลิตรถไฟฟ้าหลายรูปแบบและแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เฟสที่ 2 โดยได้สิทธิประโยชน์เทียบเท่าโครงการแรกที่ปิดรับการส่งเสริมไปก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ การที่บีโอไอเร่งออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนอีกครั้ง ก็เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการรายใหม่ ที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการไม่ทันในครั้งแรก และหากไม่มีนโยบายภาครัฐที่ดีพอ พวกเขาก็จะหันไปลงทุนในอินโดนีเซียหรือเวียดนามแทน
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });