กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเจรจากระทรวงการคลังขอการสนับสนุนด้านการลดหย่อนภาษีให้ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่ เล็งดึงรถยนต์อายุเกิน 15 ปี จำนวน 3 ล้านคัน เข้ากระบวนการรีไซเคิลลดมลภาวะ คาดตั้งระยะโครงการนาน 5 ปี
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ใหม่ ว่าภายใน 2-3 สัปดาห์นี้จะเดินทางเข้าไปเจรจากับกระทรวงการคลัง เพื่อขอความมือในโครงการดังกล่าว
โดยแนวทางจะเป็นรูปแบบของการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ที่ถือครองรถยนต์เก่าที่มีอายุมากกว่า 15 ปี สามารถนำรถพร้อมทะเบียนรถมาคืนในราคาที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งได้สิทธิในการลดหย่อนภาษีประจำปี จึงต้องปรึกษาคลัง เนื่องจากส่งผลกระทบต่อการใช้งบประมาณ
"ตอนนี้โครงการยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน เพราะต้องคุยกับทางกระทรวงการคลังเสียก่อน จากนั้นก็ต้องปรึกษาทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป้าหมายของโครงการ คือการดึงรถยนต์เก่าเข้ามาสู่กระบวนการรีไซเคิล เพื่อลดมลภาวะ"
ทั้งนี้ สุริยะระบุว่ารถยนต์เก่าที่มีอายุมากกว่า 15 ปีในประเทศไทยนั้น มีจำนวนประมาณ 3 ล้านคัน และคาดว่าโครงการลดหย่อนภาษีจะทำเป็นโครงการระยะเวลาประมาณ 5 ปี โดยยังไม่ได้กำหนดงบประมาณว่าจะต้องใช้สำหรับโครงการนี้มากน้อยเพียงใด
ดันรถเก่า 3 ล้านคันเข้ากระบวนการรีไซเคิล
เป้าหมายของโครงการนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการกระตัุ้นยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ แต่เน้นไปที่การลดมลภาวะจากการใช้รถเก่า ประกอบกับที่ผู้ประกอบการได้นำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ ไฮบริดหรือรถยนต์ไฟฟ้า ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
รถยนต์เก่าที่เข้าโครงการ จะถูกนำไปเข้ากระบวนการรีไซเคิลอย่างเป็นระบบ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ และคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปก่อนที่จะเปิดโครงการดังกล่าว โดยจะต้องใช้พันธมิตรในการดำเนินการในเรื่องนี้
"เรามีการศึกษาเรื่องกระบวนการรีไซเคิลรถยนต์มาจากหลายที เช่น ที่ประเทศญี่ปุ่น และจะต้องทำโครงการนี้อย่างเป็นระบบ เพราะรถยนต์เก่านั้นก่อปัญหาทางมลพิษ ไม่ว่าจะเรื่องการใช้งานหรือแม้แต่รถที่จอดอยู่ก็จะมีพวกของเหลวในตัวรถที่ต้องจัดการอย่างดี"
ไม่เร่งด่วน เน้นพลิกอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นบวกก่อน
อย่างไรก็ตาม สุริยะระบุว่าโครงการนี้ไม่ได้เป็นโครงการเร่งด่วน เพราะนอกจากจะต้องคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยงานแล้ว ความสำคัญในปีนี้จะอยู่ที่การพลิกอุตสาหกรรมยานยนต์ให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง โดยเฉพาะการส่งออกที่หดตัวไปกว่า 70-80%
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์เดิมมีการผลิตในประเทศไทยมากกว่า 2 ล้านคัน และมียอดการส่งออกมากกว่า 1 ล้านคัน แต่ผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้ตลาดในประเทศและตลาดส่งออกหดตัวอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดของตลาดรถยนต์ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมจะเดินหน้าโครงการอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การผลักดันการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้มีสัดส่วน 30% หรือ 7.5 แสนคันในปี 2030 เนื่องจากมองว่าความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าน่าจะเพิ่มขึ้น จากปัจจัยทางด้านราคา
"ผมได้คุยกับผู้ประกอบการอย่างเอ็มจี ทางผู้บริหารของเอ็มจีประเมินว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างมากในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน น่าจะมีต้นทุนที่ไม่แตกต่างกันภายในระยะเวลาอีก 5 ปีข้างหน้า"
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องขยายตัวไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยรัฐบาลมีแผนการที่จะขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศในระยะทางไม่เกิน 50-70 กิโลเมตร เพื่อรองรับการเดินทางระยะไกลในอนาคต