มีการถกเถียงกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือโลกออนไลน์ว่า ”การวอร์มอัพเครื่องยนต์ยังจำเป็นอยู่ไหม?” โดยที่เราต้องตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อสตาร์ทรถทิ้งไว้ 5 นาที ก่อนที่จะขับออกไปทำกิจวัตรประจำวันของเรา
ตามความเชื่อที่ว่า “วอร์มอัพ” หรืออุ่นเครื่องถูกฝังรากลึกลงไปในคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรารวมถึงช่างรุ่นเก่า แม้ว่ารถสมัยใหม่จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแล้ว “เรายังจำเป็นที่จะต้องวอร์มอัพเครื่องยนต์อยู่รึเปล่า”วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
ความก้าวหน้าของระบบหัวฉีด
พูดง่าย ๆ ก็คือรถยนต์สมัยใหม่มีระบบการจัดการเครื่องยนต์ที่ล้ำสมัยและวิศวกรได้ทำการคำนวณและพิจารณาสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น (เช่น การสตาร์ทรถในตอนเช้า)ในการปรับแต่งเครื่องยนต์ของรถในปัจจุบันซึ่งรวมถึงระบบหัวฉีดด้วย
ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ที่อุณภูมิต่ำ ระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ (EFI) ที่ทันสมัยสามารถปรับเทียบส่วนผสมของอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ได้อย่างแม่นยำตามอุณหภูมิและสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ทันที
สมมติว่าเราสตาร์ทรถในตอนเช้า EFI จะฉีดน้ำมันเข้าไปผสมกับอากาศ ยิ่งฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้สมบูรณ์มากขึ้น เนื่องจากขณที่เราขับรถ EFI จะทำหน้าที่ปรับส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ส่วนผสมของน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ซึ่งตรงกันข้ามกับรถรุ่นเก่าที่ไม่ใช้ระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แต่จะใช้คาร์บูเรเตอร์แทนในการผสมเชื้อเพลิงกับอากาศเข้าด้วยกัน ถ้าเป็นคาร์บูเรเตอร์ก็ยังจำเป็นที่จะต้องวอร์มอัพเพื่อให้ได้ส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเครื่องยนต์ ถ้าเป็นแบบนี้ก็วอร์มอัพเลยไม่มีปัญหาอะไร
คุณยังจำ “โช้ค”หรือที่อัดอากาศในเครื่องยนต์ Proton Saga รุ่นแรกได้ไหม? มันทำหน้าที่ในการทำให้ส่วนผสมของอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยจำกัดการไหลเวียนของอากาศที่จะเข้าไปในคาบูเรเตอร์เพื่อปรับอุณภูมิในห้องเครื่องได้อย่างรวดเร็ว
ใช่ มีช่วงหนึ่งที่มีการดึง “โช้ค” และภาวนาให้ Proton Saga ของคุณสตาร์ทได้อย่างราบรื่นหรือสตาร์ทติด ซึ่งชิ้นส่วนนี้หายไปพร้อมกับการถือกำเนิดของระบบ EFI ตอนนี้เราแค่สตาร์เครื่องยนต์และปล่อยให้ระบบ EFI จัดการด้วยตัวของมันเอง
เครื่องยนต์วอร์มอัพได้เร็วขึ้นไม่ต้องรอ
ต้องบอกเลยว่า คุณไม่สามารถสตาร์ทรถแล้วขับออกไปได้ทันที ลองนึกภาพเมื่อคุณตื่นขึ้นมาและยังงัวเงียอยู่แล้วทันใดนั้นมีคนขอให้คุณวิ่งด้วยความเร็วทั้งหมดที่คุณมี มันดูตลกใช่ไหม? รถของคุณก็เช่นเดียวกันแม้ว่ามันจะมีกลไกของมันก็ตาม
สิ่งที่คุณทำได้คือ แทนที่จะปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาเป็นเวลา 5 นาที จากการสตาร์ทที่อุณภูมิต่ำ ให้เวลามันสัก 30 วินาที และคุณค่อยขับออกไป แต่อย่าพึ่งกดคันเร่งและใช้รอบสูงๆให้ค่อยๆเร่งเครื่องไป
แม้แต่ส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น เครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา (Catalytic Converter) ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซไอเสียที่เป็นอันตรายของรถ จำเป็นที่จะต้องได้รับอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด
ถ้าเราค่อย ๆ ขับหลังจากการสตาร์ทที่อุณภูมิต่ำจะทำให้น้ำมันเครื่องและของเหลวอื่นๆสามารถปรับอุณภูมิที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น หากคุณปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาเป็นเวลานานอุณภูมิจะยังคงสูงขึ้นแต่จะช้ามาก การให้เครื่องยนต์เดินเบาเป็นเวลานานจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ เพราะ..
ไม่ดีสำหรับร่างกายและอากาศที่คุณหายใจ
เครื่องยนต์ทำงานด้วยการเผาไหม้เชื้อเพลิงและก๊าซที่ได้มาจากการเผาไหม้ก็คือไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) ซึ่งเป็นก๊าซชนิดเดียวกับคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) ถ้าคุณไม่รู้ว่ามันร้ายแรงยังไง คาร์บอนมอนอกไซด์นั้นอันตรายต่อร่างกายเรามากและอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
ซึ่งถ้าคุณสตาร์ทเครื่องยนต์ในอุณภูมิต่ำและปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาไปสักระยะหนึ่งเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยาหรือ Catalytic Converter จะไม่สามารถวอร์มอัพได้เร็วพอที่จะลดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ทำให้เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
ส่วนที่แย่ที่สุดคือคาร์บอนมอนอกไซด์ไม่มีกลิ่นดังนั้นคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสูดเข้าไปตอนไหน ผมแน่ใจว่าคุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องที่ว่า “มีคนตายขณะหลับอยู่ในรถโดยที่สตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้” ใช่นั้นคือพิษของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์
เนื่องจากก๊าซจากท่อไอเสียไม่เพียงแต่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ เช่นโรคหอบหืด โรคหัวใจ และมะเร็งปอดอีกด้วยดังนั้นการสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้จึงผิดกฎหมายในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหราชอาณาจักรและประเทศเยอรมันนี
สรุป
หากรถของคุณเป็นรถรุ่นใหม่และมีระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสตาร์ทรถของคุณทิ้งไว้นานมากกว่า 1 นาทีเพื่อวอร์มอัพ แต่หากคุณสตาร์ทและปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาเป็นเวลานานโดยที่คุณไม่ได้ขับ รถของคุณก็จะกินน้ำมันไปเรื่อย ๆ และเครื่องยนต์ก็จะไม่ได้อุณภูมิที่เหมาะสมเช่นกัน
ถ้าคุณมีรถที่ยังใช้คาร์บูเรเตอร์อยู่และไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน พึงระลึกไว้ว่า ให้ระมัดระวังเป็นพิเศษในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานเพราะคุณอาจจะสูดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่ไม่มีสีและไม่มีกลิ่นเข้าไปได้