ลองขี่ Aprilia Tuareg 660 แอดเวนเจอร์ไบค์พิกัดกลางที่กลมกล่อม ลงตัวในทุกมิติ!

ในที่สุดแอดเวนเจอร์ไบค์พิกัดกลางจากทางค่าย Aprilia อย่าง Aprilia Tuareg 660 ก็ได้มีการเปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเสียที และในโอกาสสุดพิเศษครั้งนี้ทาง AutoFun Thailand ของเราก็ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมทดสอบขับขี่ Aprilia Tuareg 660 ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งรายละเอียดของตัวรถจะมีอะไรที่น่าสนใจกันบ้างตามเราไปขี่กันได้เลย

• ชื่อที่มีความหมาย
• ดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
• เครื่องยนต์ขี่สนุกบิดได้ตามใจสั่ง
• ช่วงล่างระบบเบรกขั้นเทพ
• เทคโนโลยีบนตัวรถจัดมาแน่น ๆ
• ลองขี่แล้วพบว่านี่คือรถแอดเวนเจอร์ไบค์ที่ตามหามานาน
• สรุปสุดท้าย

ชื่อที่มีความหมาย

ก่อนอื่นเลยสำหรับชื่ออย่าง Tuareg นั้นมีที่มาจากชนเผ่าในแอฟริกาชนเผ่าหนึ่งที่พวกเขาได้รับสมญานามว่า "เสรีชนในผ้าคลุมสีคราม" หรือ "The Blue Men of the Sahara" ซึ่งชนเผ่า Tuareg นั้นขึ้นชื่อในเรื่องของเสรีชนที่รักในอิสระ พวกเขาไม่ที่อยู่เป็นหลักแหล่งแต่จะเดินทางท่องไปในทะเลทราย และย้ายที่อยู่อาศัยไปเรื่อย ๆ เปรียบเสมือนนักเดินทางในทะเลทรายนั่นเอง นั่นจึงเป็นที่มาของ Aprilia Tuareg 660 คันนี้ที่เปรียบได้กับความอิสระในการขับขี่ การที่คุณจะออกไปใช้ชีวิตได้อย่างอิสระโดยไร้ขอบเขตใด ๆ กับ Aprilia Tuareg 660 คันนี้ 

ดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

Aprilia Tuareg 660 ได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบจาก Piaggio Advanced Design Center (PADC) ที่นำโดย Miguel Galluzzi ทำให้ตัวรถมาพร้อมความโดดเด่น และดีไซน์รายละเอียดบนตัวรถที่ดูทันสมัยโดยเริ่มจากชุดไฟ LED ด้านหน้าแบบ 3 ดวงที่ถูกล้อมรอบไว้ด้วยไฟ Day Time Running Lift ที่ให้แสงสว่างอย่างโดดเด่นแม้ในยามกลางวัน เหนือโคมไฟหน้าขึ้นไปตัวรถได้มาพร้อมชิลด์ใสตัดลมด้านหน้าที่ใส่ใจในรายละเอียดด้วยวัสดุอย่างเพล็กซี่โปร่งใสที่เผยให้เห็นโครงสร้างแผงยึดเรือนไมล์ด้านหลังที่ทำมาจากวัสดุเทคโนพอลิเมอร์ชนิดพิเศษผสมไฟเบอร์กลาส ที่นอกจากให้ความแข็งแรงทนทานแล้ว ยังช่วยเพิ่มลุคที่ดูดิบเท่ให้กับตัวรถได้เป็นอย่างดีเมื่อมองมาจากด้านหน้า 

นอกจากนี้ตัวรถยังได้มาพร้อมกับแฮนด์บาร์ทรงกว้างที่เน้นไปยังการควบคุมที่รถที่คล่องตัว และง่ายดายรับกับเบาะนั่งแบบตอนเดียวเรียวยาวที่ช่วยให้ท่าทางการขับขี่ที่กระชับ และในขณะเดียวกันก็ยังให้ความคล่องตัวเมื่อต้องยืนขับขี่ในเส้นทางออฟโรดได้เป็นอย่างดี

ส่วนหน้าจอเรือนไมล์ Tuareg 660 มาพร้อมเรือนไมล์แบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลของตัวรถเอาไว้อย่างครบครัน แถมยังมองง่ายสบายตาด้วยแสงสว่างของหน้าจอที่ปรับได้เองตามอัตโนมัติขณะขับขี่ รวมไปถึงยังสามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์ของคุณผ่านแอพอย่าง Aprilia MIA เพื่อใช้ระบบมัลติมีเดียแพลตฟอร์มบนตัวรถได้อีกด้วย แถมยังควบคุมหน้าจอง่ายเพียงปลายนิ้วด้วยปุ่มแบบ 4 ทิศทางบนตัวแฮนด์บาร์ด้านซ้าย

เครื่องยนต์ขี่สนุกบิดได้ตามใจสั่ง

Aprilia Tuareg 660 ได้มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์แบบ 2 สูบเรียงขนาด 659 ซี.ซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ที่มาพร้อมขุมพลัง 80 แรงม้าที่ 9,250 รอบ/นาที พร้อมด้วยแรงบิด 70 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ/นาที ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ในบล็อกเดียวกันกับตัวรถสปอร์ตไบค์อย่าง Aprilia RS 660 และเน็คเก็ตไบค์ Aprilia Tuono 660 แต่ใน Tuareg 660 ได้มีการปรับจูนเครื่องยนต์ใหม่เพื่อให้มันเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ตั้งแต่ระบบท่ออากาศเข้าที่มีระยะที่ยาวกว่า และหม้อกรองอากาศแบบใหม่ ซึ่งช่วยเพิ่มแรงบิดในรอบต่ำให้กับ Tuareg 660 ตัวรถมาพร้อมถังน้ำมันขนาด 18 ลิตร พร้อมกับน้ำหนักตัวเมื่อเติมน้ำมันเต็มถังเพียง 204 กก. เท่านั้น

ช่วงล่างระบบเบรกขั้นเทพ

Aprilia Tuareg 660 มาพร้อมโช้คอัพด้านหน้า Up Side Down จาก KYB ขนาด 43 มม. กับระยะยุบที่มากถึง 240 มม. ส่วนด้านหลังมาพร้อม Mono Shock จาก KYB เช่นเดียวกันกับระยะยุบที่ 106.5 มม. ซึ่งทั้งโช้คอัพด้านหน้า และด้านหลังของตัวรถสามารถปรับตั้งค่าได้แบบเต็มระบบไม่ว่าจะเป็นความแข็งสปริง การคืนตัว การยืด-ยุบ จนไปถึงการรองรับน้ำหนัก

ต่อมาในส่วนของระบบเบรกด้านหน้า Tuareg 660 มาพร้อมจานดิสก์เบรกคู่ขนาด 300 มม. ที่ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรกจาก Brembo แบบ 4 ลูกสูบ ส่วนด้านหลังมาพร้อมจานดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 260 มม. พร้อมคาลิปเปอร์เบรกจาก Brembo แบบ 1 สูบ และเสริมความปลอดภัยด้วยระบบเบรก ABS Multimap ที่แน่นอนว่ามันสามารถเลือกเปิดปิดได้อย่างอิสระ

เทคโนโลยีบนตัวรถจัดมาแน่น ๆ

Aprilia Tuareg 660 มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่มากมายบนตัวรถ โดยเริ่มจากคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire ซึ่งสามารถตอบสนองได้อย่างแม่นยำ , ระบบป้องกันการลื่นไถล ATC , ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ACC , ระบบควบคุมกำลังเบรกจากเครื่องยนต์ AEB , ระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ AEM และโหมดการขับขี่ที่มีให้คุณได้เลือกใช้งานกันถึง 4 โหมดด้วยกัน คือ

-Urban โหมดสำหรับการขับขี่ใช้งานภายในเมืองซึ่งระบบจะปรับตั้งค่าโดยคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งานเป็นหลัก ซึ่งการทำงานของระบบเบรก ABS จะถูกเปิดการทำงานทั้ง 2 ล้อในโหมดนี้

-Explore โหมดสำหรับการเดินทาง ในโหมดนี้เครื่องยนต์จะมาพร้อมความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้คุณเพลิดเพลินไปกับเส้นทางได้อย่างเต็มที่แต่ในขณะเดียวกันระบบเบรก ABS ก็ยังเปิดใช้งานทั้ง 2 ล้อ

-Off-Road โหมดออฟโรด สำหรับโหมดนี้จะเหมาะสำหรับการขับขี่ในเส้นทางวิบาก ซึ่งในโหมดนี้ระบบควบคุมการลื่นไถล จนไปถึงระบบควบคุมกำลังเบรกจากเครื่องยนต์จะถูกปรับลดให้ต่ำที่สุด แต่จะมีการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น และในโหมด Off-Road นี้ระบบ ABS ในล้อด้านหลังจะถูกปิดการทำงาน ส่วนในล้อด้านหน้าคุณจะเลือกเปิดหรือปิดการทำงานของ ABS ก็ได้ในโหมดนี้

-Individual โหมดปรับตั้งค่าเอง ในโหมดนี้คุณสามารถเลือกปรับตั้งค่าทุกอย่างบนตัวรถได้ตามต้องการ เพื่อให้ตรงกับบุคลิก หรือสไตล์ในการขับขี่รถของคุณได้อย่างอิสระ  

ลองขี่แล้วพบว่านี่คือรถแอดเวนเจอร์ไบค์ที่ตามหามานาน

สำหรับการขับขี่ Aprilia Tuareg 660 ในครั้งนี้สำหรับในช่วงเช้าเราได้ทำการทดสอบกันภายในสนามที่เป็นพื้นที่ปิดซึ่งเป็นการจำลองเส้นทางต่าง ๆ ไว้มากมายไม่ว่าจะเป็นเนินชัน บ่อโคลน โค้งหักศอก หินลอย จนไปถึงบ่อน้ำลึก ส่วนในช่วงบ่ายจะเป็นการขับขี่ในเส้นทางธรรมชาติทั้งรูปแบบ On Road และ Off Road โดยความสนุกได้เริ่มตั้งแต่ที่เรายังไม่ได้เริ่มทดสอบกันเลย เพราะคืนก่อนการทดสอบนั้นได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก และแน่นอนทำให้การขับขี่ของเราในเช้าวันรุ่งขึ้นนั้นเพิ่มความสนุกขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว เพราะด้วยความลื่นของหน้าดิน และจำนวนน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นในบ่อที่เราต้องขี่ผ่านนั่นเอง

ได้เวลาออกลุยขึ้นคร่อมตัวรถครั้งแรกมันให้ความรู้สึกที่ดีมาก รู้สึกว่าตัวเบาะนั่งที่มาพร้อมขนาดความสูง 860 มม. นั้นไม่สูงจนน่ากลัวเกินไปเพราะส่วนเท้าของเรายังเหยียบอยู่บนพื้นได้เกือบเต็มเท้ากันเลยทีเดียวกับส่วนสูงของเราที่ 168 ซม. ต่อมากับตำแหน่งแฮนด์บาร์ที่กว้างเป็นพิเศษ ซึ่งกว้างกว่ารถแอดเวนเจอร์ไบค์ทั่วไปที่เราเคยขี่มานั้นให้ท่าทางการนั่งที่สะดวกสบาย ผ่อนคลายมาก ๆ

ส่วนหน้าจอเรือนไมล์ TFT ขนาด 5 นิ้วที่ให้มาก็มองง่ายชัดเจน สามารถปรับตั้งค่าต่าง ๆ ของตัวรถผ่านทางปุ่มที่ถูกติดตั้งไว้บนตัวแฮนด์บาร์ได้ทั้ง ซ้าย และ ขวา ซึ่งในครั้งแรกอาจจะดูงง ๆ กับปุ่มต่าง ๆ หน่อยเพราะมันถูกแบ่งเป็นทั้งทางด้านซ้าย และขวาเลย แต่หากทำความเข้าใจได้แล้วปุ่มกดต่าง ๆ ที่ให้มาจะง่ายต่อการใช้งานมาก ๆ ตัวปุ่มกดง่าย แถมไม่ได้เล็กจนเกินไป และเมื่อพร้อมแล้วเราก็เริ่มสตาร์ทรถออกลุยสู่การทดสอบในช่วงเช้ากัน

สัมผัสแรกเมื่อเรายืนขับขี่ออกไปรับรู้ได้ทันทีถึงตัวรถที่เบาเป็นอย่างมากเพราะอย่างที่รู้กันว่าตัวรถแบบเพียว ๆ ที่ไม่มีน้ำมันเต็มถังนั้นมันหนักเพียง 187 กก. เท่านั้น แถมตำแหน่งแฮนด์ และพักเท้า รวมไปถึงตัวถังน้ำมันทำให้เราสามารถหนีบขาชิดกับตัวรถได้อย่างมั่นคง และเมื่อเราลองเปิดคันเร่งเข้าโค้งแรกดูแน่นอนว่าตัวรถมาพร้อมอาการท้ายสไลด์ในทันทีเพราะเราเลือกเป็นการขับขี่โดยใช้โหมด Off Road ที่เลือกปิดแทร็คชั่นคอนโทรล กับ ระบบ ABS ทั้งหมดไว้นั่นเอง

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะสนามทดสอบในเช้านี้ทุกจุดจะลื่นเป็นพิเศษแต่นั่นมันก็ยิ่งทำให้เราสนุกมากขึ้นกว่าเดิม เพราะด้วยความที่ตัวรถจะดิ้นไปมาอยู่ตลอดเวลาทำให้เราต้องสร้างบาลานซ์ และควบคุมทิศทางตัวรถให้ดี ทั้งการขึ้นเนินลาดชันสูง ๆ การข้ามผ่านบ่อโคลนที่ลื่นมาก ๆ จนไปถึงการขี่บนพื้นหญ้าเปียกลื่น รวมไปจนถึงการผ่านบ่อน้ำที่ในตอนนี้ระดับน้ำขึ้นมาจนจบบังโคลนด้านหน้ากันไปแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้เรากล้าพูดได้เลยว่าด้วยน้ำหนักตัวรถ และตำแหน่งแฮนด์บาร์ บวกกับขุมพลังเครื่องยนต์ และความฉลาดของโหมดการขับขี่ผสมกัน ทำให้เราสามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้อย่างไม่ยากเย็นเลย

ต่อมากับการขับขี่ในช่วงบ่ายที่เราจะได้ออกไปขับขี่กันภายนอกสนามที่จะเป็นเส้นทางแบบ On Road 50% และเส้นทางแบบ Off Road 50% นั้นเป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ ซึ่งการขับขี่ในช่วงบ่ายเราได้เลือกใช้เป็นโหมดการขับขี่อย่าง Explore ที่เหมาะกับการขับขี่แบบท่องเที่ยวนั่นเอง ซึ่งการเข้าโค้งบนถนนดำในย่านความเร็วสูงตัวรถทำออกมาได้นิ่ง และมั่นคงมาก ๆ ส่วนการพลิกเลี้ยวก็ฉับไวทำได้ง่าย เราเองยังรู้สึกไปเลยว่าทำไมรถมันถึงได้เบา และเลี้ยวง่ายขนาดนี้

ส่วนการลุยทางฝุ่นไปในเส้นทางธรรมชาติ ที่มีทั้งพื้นทราย หินลอย บ่อโคลน และเถาวัลย์ภายในป่าที่ต้องคอยหลบนั้นทุกอย่างตอบสนองได้ดีมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเบรก คันเร่ง หรือความคล่องตัวในการขยับท่าทางบนเบาะนั่งที่ให้มา ทำให้เรารู้สึกสนุก และมั่นใจกับตัวรถได้แบบเต็มที่ โดยเฉพาะกับช่วงล่าง และระบบเบรกที่ให้มานั้นเราบอกได้เลยว่าของเขาดีจริง ๆ เพราะตัวโช้คอัพจาก KYB ที่ให้มานั้นคุณสามารถปรับตั้งค่าได้อย่างละเอียด ซึ่งในวันทดสอบขนาดเราขี่ค่าเดิม ๆ จากโรงงานมันยังสามารถทำงานได้ขนาดนี้ หากได้ปรับให้เข้ากับน้ำหนักของเราแล้วมันจะดีขึ้นไปอีกขนาดไหนไม่อยากจะคิด

สรุปสุดท้าย

สำหรับสุดท้ายนี้เราอยากจะบอกว่า Aprilia Tuareg 660 ในความรู้สึกของเราหลังจากได้ลองขับขี่มันทั้งวันนั้นมันเป็นรถแอดเวนเจอร์สมัยใหม่ที่แตกต่างออกไป ตัวรถมาพร้อมความลงตัว กลมกล่อมในทุกมิติ ทั้งขุมพลังเครื่องยนต์ที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เทคโนโลยีบนตัวรถที่ฉลาด และตอบรับกับผู้ขับขี่ได้อย่างฉับไว ซึ่งตรงนี้จะทำให้ผู้ขับขี่ที่เป็นทั้งมือใหม่ และมือตึงทั้งหลายสามารถสนุกไปกับ Aprilia Tuareg 660 คันนี้ได้อย่างแน่นอน เพียงแค่คุณเลือกปรับบุคลิกของรถให้เข้ากับสไตล์การขับขี่ของคุณเท่านั้น

ส่วนแน่นอนว่าหลายคนอาจจะมองไปถึงราคาค่าตัวของเจ้า Aprilia Tuareg 660 คันนี้ที่ถูกเปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยเอาไว้ที่ 749,000 บาทไทยว่ามันสูงเกินไปแต่เราอยากให้เข้าใจก่อนว่า Aprilia Tuareg 660 นั้นเป็นรถที่นำเข้ามาจากประเทศต้นทางอย่างอิตาลีแบบ 100% เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าตัวรถย่อมที่จะโดนภาษีนำเข้าไปแบบเต็ม ๆ สำหรับการเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทย แต่หลังจากที่เราได้ลองขับขี่กันไปแล้วเราบอกได้เลยว่าราคา 749,000 บาทนั้นไม่ได้แพงไปเลยกับสมรรถนะ และของที่ให้มากับตัวรถคันนี้ เพราะฉะนั้นใครที่ไหว และไม่ชอบเหมือนใคร อย่างชื่อ Tuareg ที่หมายถึงเสรีชนที่รักในอิสระไม่ชอบเหมือนใครอยู่แล้วก็จัดไปได้เลยกับ Aprilia Tuareg 660 คันนี้ รับรองได้เลยว่าคุณจะต้องหลงรักมันแบบเรา 

อ่านเพิ่มเติม : ทำความรู้จัก Aprilia Tuono 660 มอเตอร์ไซค์สุดเท่ใน John Wick 4

อ่านเพิ่มเติม : ทำความรู้จัก Aprilia SR GT 200 ทางเลือกใหม่แห่งสกู๊ตเตอร์สายลุย

อ่านเพิ่มเติม : 2021 Aprilia RS 660 สปอร์ตไบค์พิกัดกลางจากอิตาลี