โตโยต้า ยาริส เอทีฟ (Toyota Yaris ATIV) คือยืนหนึ่งในฐานะผู้นำรถยนต์อีโคคาร์แบบซีดาน แม้จะเปิดตัวมาที่หลังคู่แข่งหลายราย แต่ด้วยความพร้อมของแบรนด์และตัวสินค้าที่ไม่ได้ดูขี้เหร่อะไร ก็ทำให้โตโยต้าสามารถเก็บยอดขายของรถรุ่นนี้ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
การเปิดตัวรถยนต์รุ่นปรับปรุงล่าสุดออกมาท่ามกลางกระแสข่าวว่าจะมีค่ายรถอื่น ๆ เตรียมส่งสินค้าใหม่ออกมาสู่ตลาดจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นการตีกันตลาดไปในทิศทางหนึ่ง แถมราคาจำหน่ายของรถรุ่นนี้ก็ถือว่าฟาดฟันกับคู่แข่งได้อย่างไม่เสียเปรียบอะไรนัก
แต่หากคุณกำลังคิดที่จะซื้อรถอีโคคาร์แบบซีดานสักคันหนึ่ง และมองโตโยต้า ยาริส ซีดานเป็นหนึ่งในตัวเลือกของคุณอยู่ล่ะก็ นี่คือ 5 เรื่องที่คุณอาจจะต้องรู้ก่อนที่จะตัดสินใจเป็นเจ้าของรถคันนี้
1.เจ้าของสถิติยอดขายสูงสุดในกลุ่มอีโคคาร์ซีดาน
ยาริส เอทีฟนั้น แตกต่างจากยาริส แฮชท์แบ็คตรงที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ได้เป็นการลดเครื่องยนต์ลงมาเหมือนรุ่น 5 ประตู และแน่นอนว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่ได้สัมผัสกับรถยนต์รุ่นนี้
ในช่วงแรกของการทำตลาด ตัวรถเองมีความสับสนกับรุ่นพี่อย่างโตโยต้า วีออส (Toyota Vios) พอสมควร แม้จะใช้เครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน แต่ด้วยขนาดที่ไม่ได้แตกต่างกันอย่างชัดเจน ก็ทำให้หลาย ๆ คนที่จะเลือกซื้อรถในกลุ่มนี้คิดหนักว่าจะหันไปทางใดกันแน่
อย่างไรก็ตาม หลังจากทำตลาดมาได้พักใหญ่ ยาริส เอทีฟกลับเป็นผู้ชนะในการแข่งขันทั้งภายในองค์กรและการต่อสู้กับคนอื่น ด้วยยอดจำหน่ายสะสมมากกว่า 7.6 หมื่นคัน มียอดขายต่อปีมากกว่าวีออส และแน่นอนว่ามากกว่าคู่แข่งที่เป็นรถกลุ่มซีดานทุกคันไปอย่างขาดลอย
2.ความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก
การปรับตัวเองให้เข้าสู่โครงการอีโคคาร์ เฟสสองในประเทศไทย ก็หมายความว่ายาริส เอทีฟ จะได้รับการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยไปอีกขั้น ด้วยระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เพิ่มเข้ามา ทำให้รถคันนี้นั้น จัดว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่เป็นรองใครหน้าไหนทั้งสิ้น
ต้องบอกว่าเดิมที รถคันนี้ก็ไม่ได้ขี้เหร่อยู่แล้วในเรื่องของระบบความปลอดภัย เรียกได้ว่าระบบความปลอดภัยพื้นฐานต่าง ๆ ที่รถยุคใหม่พึงมีนั้น เอทีฟใส่มาให้อย่างเต็มที่ แถมยังมีการเพิ่มอุปกรณ์อย่างกล้องบันทึกภาพหน้า-หลัง มาเพิ่มความอุ่นใจให้กับเจ้าของรถได้อีก
นอกจากนี้ ตัวรถเองยังผ่านมาตรฐานการทดสอบการชนระดับ 5 ดาวจากอาเซียน เอ็นแคป (ASEAN NCAP) ซึ่งเป็นองค์กรที่รองรับมาตรฐานความปลอดภัยระดับภูมิภาค ต้องขอขอบคุณถุงลมนิรภัย 7 ลูกที่ติดตั้งมาตั้งแต่รุ่นเอนทรี ที่ทำให้ผ่านมาตรฐานนี้อย่างฉลุย
3.เครื่องยนต์ใหม่เนี๊ยบขึ้น ประหยัดเหมือนเดิม
23.3 กิโลเมตรต่อลิตร คือตัวเลขการประหยัดน้ำมันที่โตโยต้าเคลมไว้สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าเพียงพอต่อการผ่านมาตรฐานของอีโคคาร์อย่างสบาย แถมด้วยการผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 5 ถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่โตโยต้าภูมิใจนำเสนอ
เครื่องยนต์ใหม่ดูอัล วีวีที-ไออี (Dual VVT-iE) พร้อมเทคโนโลยีวาล์วแปรผัน ผสานกับระบบเกียร์อัตโนมัติซูเปอร์ ซีวีที-ไอ (Super CVT-i) พร้อมฟังก์ชันเอส โหมด ให้กำลังสูงสุด 92 แรงม้า รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 109 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที และให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมถึง 23.3 กม./ลิตร
เดิมที่การขับขี่ของยาริส เอทีฟนั้นก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้ปรู๊ดปร๊าดเหมือนรถรุ่นใหม่ ๆ ของคู่แข่ง แต่สมรรถนะที่ให้มาก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในเขตเมือง แต่เครื่องใหม่นี้ ก็ยังต้องใจเย็น ๆ อยู่เหมือนเดิมในการใช้งานที่ย่านความเร็วสูงนะ
4.การให้บริการที่ครอบคลุมมากที่สุดแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่าโตโยต้าคือหนึ่งในผู้ให้บริการด้านรถยนต์ที่อยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนานเกินกว่าครึ่งศตวรรษ ความพร้อมในการให้บริการและดูแลลูกค้าของแบรนด์ถือว่าเหนือกว่าคู่แข่งหลายราย อันนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญอย่างมากในการซื้อรถสักคัน
เครือข่ายการให้บริการของโตโยต้านั้นมีมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศไทย รวมถึงยังมีโครงการการให้บริการที่หลากหลายที่สุด เรียกว่าสามารถดูแลและให้บริการลูกค้าได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ใครที่ซื้อรถแล้วไม่อยากทะเลาะกับตัวแทนจำหน่าย โตโยต้าถือว่ามีความเสี่ยงในเรื่องนี้ค่อนข้างต่ำ
ยิ่งกลับไปมองที่ตัวรถ ยาริส เอทีฟนั้น มีการใช้ชิ้นส่วนบางอย่างร่วมกับรถที่ขายดีไม่แพ้กันอย่างยาริส แฮชท์แบ็ค ทำให้มั่นใจได้ว่าความพร้อมของศูนย์บริการ ช่างฝีมือและคลังอะไหล่ จะพร้อมที่จะดูแลลูกค้าที่ซื้อรถคันนี้ไปอย่างแน่นอน
5.จะเช่าซื้อระยะสั้นก็ทำได้แล้วนะ
บริการคินโต (KINTO) ซึ่งเป็นบริการเช่ารถยนต์ระยะสั้นของโตโยต้า ได้ประกาศโครงการพิเศษที่เรียกว่าคินโต วัน ลิมิเต็ด (KINTO ONE Limited) นำรถทดลองขับโตโยต้า ยาริส เอทีฟ คุณภาพดี มาให้บริการออนไลน์แบบเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก
โครงการนี้จะเปิดให้ลูกค้าบุคคลสามารถเช่ารถยนต์ระยะสั้นได้ตั้งแต่ 3 เดือนถึง 1 ปีเต็ม โดยกำหนดให้มีค่าเช่าพิเศษต่ำกว่า 1.2 หมื่นบาทต่อเดือน และจะรับจำนวนจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น หากหมดแล้วก็ถือว่าหมดโครงการในทันที
แน่นอนว่านี่คือส่วนหนึ่งของแผนการของโตโยต้าในการพัฒนาบริษัทให้เป็นมากกว่าผู้ผลิตรถยนต์ แต่เน้นการเป็นองค์กรแห่งการขับเคลื่อนที่ทำธุรกิจแบบครอบคลุม และนี่คือการขยายบริการมายังกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กเป็นครั้งแรก หากประสบความสำเร็จ ก็น่าจะมีรุ่นอื่นตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน