ผลการศึกษาล่าสุดระบุผลการแข่งขันฟอร์มูล่าวันและมอเตอร์สปอร์ตระดับสูงอาจตัดสินได้จากการกะพริบตาของนักแข่ง
สถาบันวิจัย NTT Communication Science Laboratories ทำการศึกษาพฤติกรรมของนักแข่งรถก่อนจะพบด้วยว่านักแข่งที่กำลังควบคุมตัวรถด้วยความเร็วสูงยิ่งยวดนั้นมักจะกะพริบตาเป็นจังหวะที่คล้ายกับและในตำแหน่งบนสนามแข่งที่ใกล้เคียงกันมาก
การกะพริบตาของนักแข่งรถที่กำลังบดบี้ทำความเร็วกับคู่แข่งไม่ได้เป็นแค่การทำให้ดวงตาชุ่มชื้นตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนการประมวลผลของสมองที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
การกะพริบตา 1 ครั้งจะบดบังทัศนวิสัยข้างหน้าราว 0.2 วินาที ซึ่งหากคุณอยู่ในรถแข่งความเร็วสูงระดับ 200 กม.ต่อชม. ขึ้นไป นั่นหมายถึงตัวรถเคลื่อนที่ไปแล้ว 11 เมตรเลยทีเดียว
นั่นหมายความว่าในการแข่งขันที่ทุกเสี้ยววินาทีก็มีความหมาย การกะพริบตาอาจตัดสินผลแพ้ชนะของการแข่งขันได้เลยทีเดียว
ศึกษาอย่างละเอียด
เรียวตะ นิชิโซโนะ นักวิจัยของสถาบันวิจัย NTT Communication Science Laboratories ร่วมมือกับทีมแข่งรถ Docomo Team Dandelion Racing ในการศึกษาพฤติกรรมของนักแข่งอย่างละเอียด
มีการติดตั้งกล้องพิเศษบนหมวกกันน็อกของนักแข่งที่ร่วมรายการ Japanese Super Formula Championship ระหว่างปี 2020 และ 2021 ก่อนนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลด้วยเทคโนโลยี AI
ในการขับขี่บนสนามแข่งที่ใช้ความเร็วสูงอย่าง Fuji International Speedway ผลการวิจัยพบด้วยว่าการกะพริบตาของนักแข่งเกือบทั้งหมดไม่เกิดขึ้นในโค้งหรือในตำแหน่งที่ต้องลดความเร็วอย่างฉับพลันหรือในช่วงที่ตัวรถเกิดแรงเหวี่ยงอย่างหนักหน่วง
แต่ผลการศึกษาพบว่านักแข่งมักกะพริบตาเมื่อตัวรถกำลังพุ่งทะยานออกจากโค้งและทำความเร็วขึ้นไปอีกครั้งบนทางตรง
นักแข่งที่กะพริบตาในพื้นที่ที่ “มีความเสี่ยง” น้อยกว่า และเปิดเปลือบตากว้างไว้ตลอดเวลาในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงนั้นจะทำให้ตัวรถทำความเร็วต่อรอบได้ดีกว่า
ผลวิจัยดังกล่าวยืนยันว่านักแข่งจะต้องมีการผสมผสานเทคนิคการขับขี่เข้ากับการมีสมาธิสูงสุดเมื่อต้องลดความเร็วขณะเข้าโค้งและทนทานต่อแรงเหวี่ยงของตัวรถ
“นักแข่งพยายามที่จะไม่กะพริบตาในบางจุดของสนามแข่งเพื่อที่พวกเขาจะไม่สูญเสียทัศนวิสัยในเสี้ยววินาทีนั้นไป” นิชิโซโนะ กล่าว พร้อมกับชี้ว่าการกะพริบตาน้อยหมายถึงนักแข่งสามารถบันทึกข้อมูลเชิงภาพไว้ในหัวได้มากกว่า
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });