รถยนต์ของ Mazda (มาสด้า) และ Mitsubishi Motors (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ในประเทศญี่ปุ่นจะมีราคาจำหน่ายแพงขึ้นหลังจากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินเยนที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง
Mazda ประกาศว่าจะปรับราคารถยนต์ 2 รุ่นขึ้น 3% ได้แก่รถคอมแพ็กต์ซีดาน-แฮทช์แบ็ก Mazda 3 และรถเอสยูวี-บี CX-30 ขณะที่ Mitsubishi ยืนยันว่าจะขยับราคารถเอสยูวีปลั๊กอินไฮบริด Outlander PHEV ขึ้น 3% ด้วยเช่นกัน
การปรับราคาขึ้นของบริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นโดยยังไม่ถึงเวลาไมเนอร์เชนจ์ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก ส่วนใหญ่การปรับราคาจะมาพร้อมกับการอัพเกรดรูปลักษณ์ภายนอก การปรับปรุงภายในห้องโดยสาร และเพิ่มอ็อปชั่นต่าง ๆ เพื่อสร้างความรู้สึกคุ้มค่า
อย่างไรก็ตาม ค่ายรถขนาดกลางอย่าง Mazda และ Mitsubishi ไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้มากเท่ากับค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota และ Nissan เมื่อต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นก็จะต้องผลักภาระดังกล่าวไปที่ลูกค้าเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ
แหล่งข่าวของ Mitsubishi Motors กล่าวกับสำนักข่าว Nikkei ว่า “ต้นทุนวัตถุดิบอย่างการผลิตแบตเตอรี่สูงขึ้นอย่างมากจนเราไม่สามารถแบกรับได้อีกต่อไป การปรับราคาขึ้นเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก”
ปกติแล้ว บริษัทรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาจะปรับขึ้นราคาเป็นเรื่องปกติ อย่าง Tesla ที่ประกาศว่ารถเอสยูวีไฟฟ้า Model Y มีราคาสูงขึ้น 3,000 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 106,000 บาท อย่างไรก็ตาม บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักมีชุดความคิดที่ต้องป้องกันภาวะเงินฝืด และการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมยานยนต์ทำให้การตัดสินใจขึ้นราคานั้นทำได้ไม่ง่ายนัก
แพงขึ้นเท่าไหร่?
ผลของการปรับราคาขึ้น 3% ทำให้ Mazda 3 และ CX-30 มีราคาสูงขึ้น 66,000 เยนหรือประมาณ 17,000 บาท โดย Mazda ได้แจ้งเรื่องนี้ต่อผู้แทนจำหน่ายแล้วว่าการปรับราคาดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่มีการปรับปรุงตัวรถแต่อย่างใด
ขณะที่ Outlander PHEV จะมีราคาเพิ่มขึ้น 150,000 เยนหรือประมาณ 38,000 บาททำให้ราคาค่าตัวขยับขึ้นเป็น 5.32 ล้านเยนหรือ 1.3 ล้านบาท
การปรับราคาดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือปลายไตรมาสที่ 3 โดยลูกค้าที่จองรถยนต์ก่อนการปรับราคาอาจต้องควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มตามช่วงเวลารับรถยนต์
มีรายงานว่าค่ายรถรายอื่นอย่าง Subaru, Honda และ Suzuki ก็กำลังพิจารณาปรับราคาจำหน่ายในตลาดบ้านเกิดเช่นกัน โดยมีการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งอย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะปรับขึ้นเท่าไหร่และเมื่อใด
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้องปรับราคาขึ้น นอกเหนือจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและค่าเงินเยนที่อ่อนตัวเป็นประวัติการณ์ ยังรวมถึงอัตราดอกเบี้ยระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่ห่างกันมากขึ้น ทำให้การนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย
ค่ายรถยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งของโลกอย่าง Toyota เคยปรับราคาขึ้นในปี 1974 หลังจากเกิดวิกฤตด้านพลังงานทั่วโลก หลังจากนั้นในปี 2008 และ 2011 พวกเขาปรับราคารถยนต์ไฮบริดอย่าง Prius และอีกหลายรุ่นอันเป็นผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ตามลำดับ