เว็บไซต์ Recurrent ได้ทำการวิจัยแล้วพบว่า Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) เป็นรถ EV ที่มีอัตราการเปลี่ยนแบตเตอรี่สูงสุด
- ผู้ซื้อ EV มักมีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแบตเตอรี่
- Recurrent ให้ข้อมูลว่า การเปลี่ยนแบตเตอรี่จะมีค่าใช้จ่ายราว 5,000 - 20,000 ดอลล่าร์
- รถ EV ยุคแรก ๆ หลายคัน มีแนวโน้มที่จะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้ว
หนึ่งในข้อกังวลที่ใหญ่ที่สุดสำหรับอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าคือ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีราคาสูง โดยเฉพาะรถ EV ในยุคแรก ๆ ที่ยังไม่เป็นที่นิยมนั้น บางรุ่นอาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้ว
หากไม่นับการเรียกคืน Nissan Leaf ได้ที่หนึ่ง
หากไม่นับรวมการเรียกคืนของรถ EV ที่ผ่านมาอย่าง Chevrolet Bolt EV หรือ Hyundai Kona Electric ที่ผ่านมาแล้ว พบว่า จากการศึกษารถยนต์ไฟฟ้าของ Recurrent บริษัทรายงานสภาพแบตเตอรี่ ระบุว่ามีรถ EV เพียง 1.5% เท่านั้นที่ได้รับการเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดย รถ EV ทั้ง 15,000 คันที่ใช้บริการของ Recurrent นั้น มีเพียง 225 คันเท่านั้นที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ไป
ซึ่งรวมถึงการเรียกคืนเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่อีวี 2 ครั้งที่ทำให้อัตราการเปลี่ยนแบตเตอรี่สูงขึ้นเป็น 6.5% คิดเป็น 975 จาก 15,000 คัน
หากเราไม่นับการเรียกคืนแล้ว Recurrent พบว่ารถรุ่นที่มีอัตราการเปลี่ยนแบตเตอรี่สูงที่สุดนั้นหนีไม่พ้น Nissan Leaf และ Tesla Model S ซึ่งครอง 2 อันดับแรกด้วยตัวเลข 4.92% และ 3.75% ตามลำดับ เนื่องจากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ทำตลาดมาอย่างยาวนานทั้งคู่
เมื่อมาดูในรายละเอียดก็พบว่า Nissan Leaf ปี 2011 และ 2012 มีอัตราการเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ 8.3% และ 3.5% ตามลำดับ ส่วน Tesla Model S ปี 2013, 2014, และ 2015 จะมีอัตราการเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ 8.5%, 7.3%, และ 3.5% ตามลำดับ
ถึงจะเป็นตัวเลขที่สูงกว่ารุ่นอื่น แต่ Recurrent กล่าวว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ และยังบอกว่าแบตเตอรี่ EV ในภาพรวมนั้นมีอายุการใช้งานยาวนาน
อ่านเพิ่มเติม : 2023 Nissan Leaf ปรับโฉมขายมาเลเซียราคาเหลือ 1.29 ล้านบาท ส่วนไทยไม่ได้ไปต่อ
อัตราการเปลี่ยนแบตเตอรี่มีความสำคัญอย่างไร
สำหรับผู้ขับขี่ที่ตัดสินใจที่จะซื้อรถ EV ใช้แบบระยะยาวนั้นไม่ต้องการที่จะมีการซ่อมแซมขนาดใหญ่และมีราคาแพง ตั้งแต่ราคาราว 5,000 ไปจนถึง 20,000 ดอลล่าร์
ความเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการเช่น เราชาร์จรถอีวีอย่างไรบ้าง เราขับรถในสภาพแวดล้อมแบบใด หรือปัจจัยอื่น ๆ
สถานะของแบตเตอรี่คือข้อมูลที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับตลาดรถ EV มือสอง คนที่จะมาเป็นเจ้าของ EV คนที่สองหรือสามนั้นต้องการทราบว่าแบตเตอรี่มีการเปลี่ยนไปแล้วหรือมีบางอย่างที่จำเป็นไปแล้วหรือยัง
หากมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ไปแล้ว เจ้าของคนถัดมาก็จะสบายใจยิ่งขึ้น เพราะเหมือนรถกลับไปเป็นของใหม่อีกครั้ง
นอกจากนี้ Recurrent กล่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์มีการรับประกันแบตเตอรี่ EV หลากหลายรูปแบบเพื่อลดความหวาดกลัวของลูกค้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแบตเตอรี่
ตัวอย่างเช่น BMW และ Volkswagen ที่รับประกันแบตเตอรี่ที่สถานะ 70% ในระยะเวลา 8 ปีหรือ 100,000 ไมล์ (160,934 กม.), Tesla Model 3 ในรุ่นสูง ๆ จะรับประกับแบตเตอรี่ที่ 70% ในระยะเวลา 8 ปี หรือ 120,000 ไมล์ (เกือบ 2 แสนกม.)
สำหรับรายชื่อการจัดรายชื่ออัตราการเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยนับรวมทุกกรณี มีดังนี้
ชื่อ/รุ่นรถ EV |
อัตราการเปลี่ยนแบตเตอรี่ (%) |
Tesla Model Y |
0.29% |
Tesla Model 3 |
0.34% |
Audi e-tron |
0.41% |
Tesla Model X |
0.79% |
Chevy Volt |
0.95% |
Jaguar I-PACE |
1.32% |
Tesla Model S |
3.75% |
อ่านเพิ่มเติม : ลือหนัก! Nissan Leaf อาจไม่มีเจเนอเรชั่นถัดไป แต่จะมีรุ่นใหม่มาแทน?