MG (เอ็มจี) หนึ่งในผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในประเทศไทย ระบุรถยนต์ไฟฟ้าที่จะประกอบในประเทศ (ซีเคดี) ในปี 2568 เป็นต้นไปนั้น ไม่มีทางทำราคาจำหน่ายได้ต่ำกว่ารุ่นนำเข้าแบบสำเร็จรูป (ซีบียู) ได้อย่างแน่นอน แนะลูกค้าเร่งตัดสินใจซื้อภายในปีนี้ ชี้เป็นโอกาสทองของลูกค้าที่จะได้สินค้าที่ราคาคุ้มค่าที่สุดอย่างแน่นอน
พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศจีนนั้นถูกกว่าในประเทศไทยมาก ทั้งในเรื่องของการผลิตจำนวนมากที่ส่งผลให้เกิดความคุ้มค่ามากกว่า รวมไปถึงปัจจัยเรื่องค่าแรงในการประกอบรถยนต์ในไทย และต้นทุนการนำเข้าชิ้่นส่วนที่สูงกว่าเช่นกัน
"ตอนนี้หลายคนถามว่าเข้ามาประกอบแล้วราคาจะถูกลงไหม ผมคิดว่าไม่อย่างแน่นอน ค่ายรถส่วนใหญ่ก็คงจะเน้นการรักษาราคาจำหน่ายเอาไว้ให้ได้ต่อเนื่อง เพราะต้นทุนการผลิตที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ หากลูกค้าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงนี้ ก็จะมีออพชั่นและทางเลือกที่มากกว่า เนื่องจากการนำเข้าทั้งคันสามารถทำได้หลากหลายกว่าการผลิตที่มีข้อจำกัด"
เอ็มจีตั้งเป้าหมายที่จะนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อีก 2 รุ่นในปีนี้ จากที่มีทำตลาดอยู่แล้ว 3 รุ่น ประกอบไปด้วย MG EP (เอ็มจี อีพี) MG ZS EV (เอ็มจี แซดเอส อีวี) และ MG4 (เอ็มจี4) โดยในปีที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัททำได้ที่ประมาณ 4,000 คัน เป็นผลมาจากการขาดแคลนซัพพลายในด้านรถยนต์ไฟฟ้า จากปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์สำหรับการผลิต ซึ่งในปีนี้ได้มีการเจรจากับบริษัทแม่ในเรื่องการจัดสรรสินค้าเข้ามาแล้ว และคาดว่าจะทำให้บริษัทมียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 100% เพิ่มเป็น 1 หมื่นคัน คิดเป็น 20% ของเป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์ของเอ็มจี ประเทศไทยในปี 2566
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินของบริษัทคาดว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีนี้จะเติบโตขึ้นไปที่ระดับ 4 หมื่นคันมากที่สุด เมื่อเทียบกับตลาดรวมที่มีการคาดการณ์ที่ 9 แสนคัน จะพบว่ามีสัดส่วนไม่ถึง 5% อยู่ดี ทำให้บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าการทำตลาดรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน รวมถึงกลุ่มไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ยอดจำหน่ายรถกลุ่มนี้ที่ 4 หมื่นคันในปีนี้ เติบโตจากปีที่ผ่านมา ที่มียอดจำหน่ายรวม 27,293 คัน เพื่อหวังที่จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดอันดับ 5 ของประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ 10 ปีการเข้ามาในประเทศไทยของแบรนด์เอ็มจี
สำหรับแผนงานหลักของเอ็มจีในปีนี้ จะเน้นการซัพพลายสินค้าในทุกเซกเมนต์ให้กลับมามีการส่งมอบอย่างต่อเนื่องทั้งปี หลังจากที่สินค้าหลายรุ่น เช่น MG ZS (เอ็มจี แซดเอส) และ MG Extender (เอ็มจี เอ็กซ์เทนเดอร์) ไม่มีการส่งมอบสินค้าไปหลายเดือน ทำให้ยอดจำหน่ายหดตัวลงไปมากและดีลเลอร์เองไม่กล้าทุ่มทำตลาดอย่างเต็มที่ ซึ่งคาดการณ์ว่าในปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์จะแข่งกันรุนแรงมากขึ้น ทั้งในเรื่องของราคาและแคมเปญจากผู้ประกอบการ ประกอบกับการเติบโตของตลาดที่มีอัตราที่ลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งแม้ตลาดจะขยายตัว แต่ผู้ประกอบการก็ต้องการเดินหน้าทุกรายเช่นกัน
พงษ์ศักดิ์กล่าวว่านอกเหนือจากสินค้าที่ทำตลาดอยู่นั้น เอ็มจีก็อยู่ระหว่างการพิจารณาหาสินค้าใหม่ ๆ มาทำตลาดในอนาคต โดยอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายแบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มรถตู้โดยสารไฟฟ้า ก็พิจารณาว่ามีความต้องการของหลาย ๆ หน่วยงานในประเทศไทย ก็อาจจะนำเข้ามาทำตลาดในอนาคต นอกจากนี้ จะเร่งเดินหน้าส่งออกรถยนต์ไปจไหน่ายยังประเทศในอาเซียน อย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม ที่มีแรวโน้มจะส่งออกเพิ่ม 1 เท่าตัวในปีนี้ จากปีที่ผ่านมาที่ส่งออกไป 6,684 คัน รวมถึงการเจรจาเพื่อเปิดตลาดใหม่ ๆ อย่างตลาดมาเลเซีย ก็อาจจะเห็นเพิ่มเติมได้ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม หากดูการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภาพรวมก็จะพบว่ามีความสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศไทย ซึ่งในปีที่ผ่านมา แม้ตลาดรถยนต์จะเติบโตเหนือจีดีพี แต่ก็มีปัญหาในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 24 ปี ซึ่งในปีนี้ รัฐบาลประเมินว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวโดนจีดีพีจะอยู่ที่ 3.6% อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ประกอบการกับขยายตัวของเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว รวมถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น น่าจะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตได้ตามเป้าหมาย และหากยังมีการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะที่จะเห็นตลาดรถยนต์ปีละ 1 ล้านคันได้อีกครั้งใน 2-3 ปีข้างหน้า
ถือเป็นเป้าหมายที่ใครก็อยากเห็นกันอีกครั้งเช่นกันสำหรับประเทศไทย...
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}