Suzuki ปรับใหญ่ ดัน 'บ้านซู' ยึดการตลาด-ขาย-บริการทั่วประเทศ หวังโต 20% ทุกปี
Suzuki (ซูซูกิ) หนึ่งในผู้ผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่ของประเทศไทย แถลงปรับโครงสร้างใหญ่ ลดบทบาทเหลือผู้ผลิต-ดูแลอะไหล่ พร้อมตั้งบริษัทร่วมทุนกับบ้านซู ตัวแทนใน 14 จังหวัดภาคใต้ เข้าดูแลงานด้านการตลาด-การขายและการบริการหลังการขายทั่วประเทศ รวมถึงการนำเข้าสินค้าทั้งหมด
บริษัท ซูซูกิ โมโตเซลส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SMCT คือบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัท ไทยซูซูกิ มอเตอร์ จำกัด 30% และที่เหลือเป็นการถือหุ้นโดย บริษัท บ้านซูซูกิ จำกัดและพันธมิตรอื่น ๆ ซึ่งบริษัทใหม่นี้ จะเข้ามาดูแลกิจการของซูซูกิทั้งหมดในพื้นที่ 63 จังหวัด ยกเว้นในภาคใต้
ชินจิ ฮะสึอิ ประธาน บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า การตั้งผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่ของบริษัทในครั้งนี้ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดจำหน่ายให้กับรถจักรยานยนต์ของซูซูกิอีกครั้ง และเป็นความท้าทายในการก้าวไปข้างหน้าของบริษัท ในวาระที่บริษัทครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งบริษัทในปีนี้
"นับตั้งแต่ปี 2510 เราในฐานะผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ ได้ผลิตและจำหน่ายอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในไทยหลายราย ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงและยากลำบากมาก ทำให้เราไม่สามารถเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งตามที่เราคาดหวังไว้ได้"
ภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ทางซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่นและไทยซูซูกิ ได้ตัดสินใจครั้งใหญ่เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ มีการเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งคิดว่ายากหากจะทำเหมือนเดิมต่อไป บริษัทได้จัดตั้งผู้จัดจำหน่าย ร่วมกับบ้านซู ที่เป็นตัวแทนภาคใต้เพื่อมาดูแลพื้นที่การขาย 63 จังหวัด ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้
Suzuki MotoSales Corporation (Thailand) Co.Ltd.
บริษัท ซูซูกิ โมโตเซลส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด คือบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท บ้านซูซูกิ จำกัดและพันธมิตร 70% และไทยซูซูกิมอเตอร์ 30% ซึ่งสาเหตุของการร่วมทุนกันครั้งนี้ เนื่องจากมองว่าพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัดที่บ้านซูดูแลอยู่นั้น ประสบความสำเร็จด้วยการมีส่วนแบ่งตลาด 5% เทียบกับในตลาดอื่นที่มีราว 1% เท่านั้น
ที่ผ่านมา บ้านซูได้พยายามแข่งขันกับคู่แข่งด้วยตัวเอง ด้วยการร่วมมือกับไฟแนนซ์หลายแห่งในเขตการขายของตัวเอง จนประสบความสำเร็จ และเพื่อเป็นการเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดอย่างรวดเร็ว SMCT จะดำเนินนโยบายการขายรูปแบบใหม่ นำระบบและปรับเปลี่ยนช่องทางจำหน่ายมาใช้เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
โดยจะมีการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นทางการ โดยบริษัทแม่ จะเป็นผู้ออกแบบและเลือกเฟ้นผลิตภัณฑ์ให้กับชาวไทย ไทยซูจะทำหน้าที่ผลิตรถและดูแลด้านอะไหล่ รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินกิจการ ส่วน SMCT จะเข้ามาดูแลเรื่องการขาย การตลาดและบริการหลังการขาย นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำเข้ารถทั้งหมดอีกด้วย
นายใหญ่ SMCT ชี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
มนูญศักดิ์ อาภาโรจน์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMCT กล่าวว่าสถานการณ์ดังกล่าวถือว่ามีความยากลำบากมากพอสมควร แต่ก็มีความท้าทาย โดยสิ่งที่ตั้งใจในการเข้ามา อยากให้ซูซูกิกลับมาทำตลาด มีชีวิตชีวาขึ้น และสนุกไปกับมัน คงมีการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีการทำตลาด กระบวนการขาย ที่ทำให้รวดเร็วและตอบสนองตลาดได้ดีขึ้น
"เราคงจะจะไม่ใช้กลยุทธ์เดียวกันในทุกพื้นที่ เพื่อให้ตรงกับความต้องการ อยากให้ถึงกลุ่มเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่างเราประเมินว่าภายใน 3 ปีเห็นผลแน่นอน โดยเราคาดว่าจะทำให้ยอดจำหน่ายของซูซูกิกลับมาอยู่ที่ 3 หมื่นคันในปี 2564 จากที่ทำได้หมื่นกว่าคันในปีนี้ และจากนั้น เราจะตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตปีละ 20% อย่างต่อเนื่อง"
ทั้งนี้ มองว่าปัญหาที่ผ่านมาไม่ได้อยู่ที่เรื่องของตัวสินค้า แต่ต้องปรับในเรื่องของเครือข่ายการจำหน่าย และแนวทางด้านการขาย พัฒนาด้านการตลาดแนวใหม่ ซึ่งรวมไปถึงการสื่อสารการตลาดใหม่ รวมถึงการร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศอีกว่า 200 รายในเขตที่จะเจ้าไปดูแล ก็ต้องมีการลงพื้นที่ไปทำงานกันให้มากขึ้นกว่าเดิม