ลัมโบร์กินีประเทศไทย จัดงานเปิดตัว Lamborghini Urus SE ซูเปอร์เอสยูวีระบบ ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของลัมโบร์กินี สเปคกำลัง 800 แรงม้า ราคา 24,980,000 บาท
ภายนอกต่างจากเดิม
ดีไซน์ของ Urus SE ส่วนหน้าหรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design โดยลบเส้นสายที่เป็นตัว แบ่งส่วนต่าง ๆ ทิ้งไป แนวคิดการออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิงซึ่งเป็น สัญลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินีนั่นเอง
สําหรับการออกแบบส่วนท้าย มีชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” แบบใหม่ และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่ ทำงานร่วมกับสปอยเลอร์ใหม่ ช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S
การออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถ และท่อลมเข้าถูกปรับปรุงใหม่ให้ต่อเนื่องมากขึ้น เพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15% การออกแบบส่วนหน้ายังปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศไประบายความร้อนให้กับระบบเบรกดีขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า
ดีไซน์ห้องโดยสารภายใน
การตกแต่งภายในได้รับการอัปเดตใหม่ เพื่อขับเน้นดีไซน์ระดับซิกเนเจอร์ “Feel like a pilot” มีเกจวัดเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิม และมีหน้าจออินโฟฯ ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับทัชสกรีนสั่งการระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดายและเป็นธรรมชาติมากขึ้นเหมือนที่พบได้ในรุ่น Revuelto ทีมนักออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังให้ความสําคัญกับการออกแบบท่อลม โดยตกแต่งด้วยวัสดุ อลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” และยังหุ้มส่วนบานตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่งด้วยวัสดุใหม่
สัมผัส 4 โหมดการขับขี่ที่แตกต่าง
แผงควบคุม “Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซลเพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่าง ง่ายดาย และด้วยการใช้ระบบส่งกําลังแบบไฮบริด เมื่อรวมโหมดการขับขี่ของ Urus ทั้ง 6 แบบเข้ากับการทํางาน Electric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก 4 แบบ ทําให้นักขับมีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง 11 ออปชัน โดยในรุ่นนี้ โหมดพื้นฐานทั้ง Strada, Sport, Corsa (สําหรับท้องถนนและสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สําหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทํางานร่วมกับออปชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge
สเปค Urus SE
เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ผลิตกำลัง 620 แรงม้า และแรงบิด 800 Nm โดยผสานเข้ากับ ระบบไฟฟ้า 192 แรงม้า และแรงบิด 483 Nm ทำงานร่วมกันมีกำลังสูงสุดที่ 800 แรงม้า ให้แรงบิดรวม 950 Nm ที่ 1,750 รอบต่อนาทีและสูงสุดที่ 5,750 รอบต่อนาที พร้อมติดตั้งแบตเตอรี่ลิเทียม 25.9 kWh บริเวณใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระเหนือเฟืองท้ายไฟฟ้า สามารถขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบไฟฟ้า 100% ที่ได้ระยะทางไกลกว่า 60 กม. เมื่อขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้า (EV Mode) เพียงอย่างเดียว สามารถลดการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 80%
สมรรถนะ Urus SE
Lamborghini Urus SE สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (Urus S ที่ 3.5 วินาที) และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 11.4 วินาที (Urus S ที่ 12.5 วินาที) สามารถทําความเร็วสูงสุดที่ 312 กม./ชม. (Urus S ที่ 305 กม./ชม.) มีเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกนํามาใช้ใน Urus SE เป็นครั้งแรกคือระบบเวกเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ที่ติดตั้ง ไว้บริเวณกลางตัวรถ พร้อมคลัตช์อิเล็กโตรไฮดรอลิกแบบมัลติเพล จะคอยกระจายแรงบิดเมื่อทําการเบรก ทําให้รถยนต์สามารถควบคุมอาการ oversteer ได้แบบ “on demand”
เมื่อวิ่งในพื้นผิวที่ต่างกัน ช่วงล่างถุงลมจะปรับเปลี่ยนการทํางานเพื่อสร้างค่าความสูงรถที่เหมาะสม ตั้งแต่การเดินทาง ระยะ 15 มม. ในโหมด Corsa ไปจนถึงสูงสุดที่ 75 มม. เมื่อระบบยกตัวรถทํางานเต็มที่ นอกจากนี้มีพารามิเตอร์ที่คอยปรับพวงมาลัย ระบบการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ก็จะทํางานแบบแปรผันเช่นกัน รวมถึงการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่ควบคุมการทํางานด้วยระบบไฟฟ้า 48V เพื่อสะท้อนถึง “บุคลิก” ที่แตกต่างของ Urus SE
ราคา Lamborghini Urus SE
Lamborghini Urus SE เปิดจองแล้วด้วยราคา 24,980,000 บาท พร้อมส่งมอบรุ่นพวงมาลัยขวาได้ในไตรมาส 2 ของปี 2025 เป็นต้นไป จำหน่ายโดยบริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จํากัด ตัวแทนจําหน่ายรถยนต์ ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย
อ่านเพิ่มเติม : Lamborghini Lanzador Concept กระทิงดุไฟฟ้าพกม้า 1,341 ตัว เตรียมผลิตจริงปี 2028