ลองขี่ Yamaha WR155R ตะลุยหุบพริก พิชิตบางกะม่า 2 วัน 1 คืน!
Yamaha WR155R คือรถมอเตอร์ไซค์เอ็นดูโร่ ที่ถูกสร้างมาเพื่อการใช้งานที่สมบุกสมบัน สามารถพาตัวผู้ขับขี่ไปได้ในทุกที่ ทุกเส้นทาง ถึงแม้ไม่มีทางก็ไปได้เพราะเราลองมาแล้ว ซึ่งสำหรับการเดินทางของ AutoFun Thailand ในครั้งนี้เราได้รับหมายเชิญจากทาง Yamaha เพื่อให้เข้าร่วมการทดสอบขับขี่ในครั้งนี้ โดยการใช้รถอย่าง Yamaha WR155R ขับขี่ไปในเส้นทางธรรมชาติสไตล์รถเอ็นดูโร่กับเส้นทาง หุบพริก และบางกะม่า ในตัว จ.ราชบุรี เป็นเวลา 2 วัน 1 คืน ซึ่งการเดินทางของเราในทริปนี้จะสนุกขนาดไหนไปติดตามกันได้เลย
- ทำความรู้จักตัวรถก่อนขับขี่
- ไม่พูดพร่ำทำเพลงได้เวลาออกลุย
- วันที่ 2 ตะลุยบางกะม่า ชมพระอาทิตย์ยามเช้า
- Yamaha WR155R เดิม ๆ ลุยไปได้ทุกที่จริง ๆ
ทำความรู้จักตัวรถก่อนขับขี่
สำหรับรถที่เราจะใช้เดินทางกันตลอดระยะเวลา 2 วันในทริปนี้ก็คือเจ้ารถสายลุยอย่าง Yamaha WR155R นั่นเอง โดย Yamaha WR155R นั้นคือรถในสไตล์เอ็นดูโร่ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานได้ทั้งในเส้นทาง On-Road และ Off-Road อยู่แล้ว ซึ่งตัวรถจะมาพร้อมขนาดที่เล็กกะทัดรัดบนพื้นฐานของรถเอ็นดูโร่กับน้ำหนักตัวรถที่ 134 กก. เท่านั้น พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 155 ซี.ซี. สูบเดี่ยว 4 จังหวะ SOHC 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ และแน่นอนว่ามันมาพร้อมเทคโนโลยี VVA ระบบวาล์วแปรผันจาก Yamaha จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด พร้อมถังน้ำมันขนาดความจุ 8.1 ลิตร
พร้อมช่วงล่างขั้นเทพที่สามารถให้คุณบุกตะลุยไปได้ในทุกเส้นทางกับโช้คอัพด้านหน้าแบบเทเลสโคปิคขนาดแกน 41 มม. จาก KYB ส่วนด้านหลังเป็นโช้คอัพเดี่ยวแบบ Monocross ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม และกระเดื่องซับแรง ซึ่งสามารถเลือกปรับค่าความแข็งได้ถึง 5 ระดับ พร้อมจานดิสก์เบรกด้านหน้าแบบเดี่ยว ส่วนด้านหลังก็มาพร้อมระบบดิสก์แบบเดี่ยวเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้คุณสามารถหยุดรถได้อย่างมั่นใจ และนี่คือคู่หูอาชาคู่กายประจำตัวเราในการเดินทางครั้งนี้
ไม่พูดพร่ำทำเพลงได้เวลาออกลุย
และเมื่อเดินทางไปถึงที่พักของเราใน จ.ราชบุรี เราก็ไม่รอช้ารีบทำการเปลี่ยนชุดแต่งกายเพื่อให้พร้อมสำหรับการขับขี่ในครั้งนี้ และแน่นอนว่าอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างหมวกกันน็อค และชุดป้องกันที่มีการ์ดแข็งอยู่ด้านในถือเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับการขับขี่เดินทางในภูเขาแบบนี้ที่สามารถเกิดอันตราย และอุบัติเหตุขึ้นได้ทุกเวลา รวมถึงเป้เพื่อบรรจุน้ำดื่มก็เป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะร่างกายของคุณจะเกิดความเหนื่อยล้า และเสียน้ำเยอะมากในเส้นทางขับขี่แบบนี้ และก่อนออกเดินทางแน่นอนว่าเราจะต้องมีการพูดคุยถึงรูปแบบการขับขี่ และเส้นทางต่าง ๆ ที่เราจะใช้ขับขี่กันในวันนี้ก่อนเพื่อความปลอดภัยของทุกคน โดยระยะทางในวันแรกนี้เราจะเดินทางกันประมาณ 90 กม.
ซึ่งเราจะเริ่มสตาร์ทจากฝั่งของตัวอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี และทำการวิ่งตัดผ่าภูเขาไปลงยังฝั่งของเขต จ.กาญจนบุรี ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการขับขี่ข้ามภูเขากันไปหลายลูกเลยทีเดียว ซึ่งเส้นทางการขับขี่ก็เริ่มด้วยถนนดำแบบชิว ๆ ซึ่งแม้ตัวรถจะมาพร้อมยางหนามหรือชุดล้อวิบาก แต่เราก็สามารถวิ่งทำความเร็วอยู่ที่ประมาณ 80-100 กม. ได้อย่างสบาย ๆ พร้อมทั้งยังสามารถพับเลี้ยวเข้าโค้งด้วยความเร็วได้อย่างมั่นคง เรียกว่าตลอดเส้นทางทุกคนต่างขี่เล่นโค้งกันมาอย่างสนุกสนาน และแล้วเมื่อสิ้นสุดถนนดำการผจญภัยของเราในวันนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งตลอดเส้นทางของเราในช่วงแรกจะเป็นการขับขี่ผ่านสวนปาล์ม และสวนผลไม้ของชาวบ้านในบริเวณนั้น พร้อมทั้งเราจะได้ขับขี่ข้ามผ่านห้วย หนอง คลอง บึง อีกนับไม่ถ้วน เพื่อไปยังจุดหมายแรกของเรายังยอดภูเขา
ซึ่งยิ่งเราขี่เจ้า Yamaha WR155R ลึกเข้าไปในป่าเท่าไหร่เส้นทางสำหรับให้รถวิ่งนั้นก็ค่อย ๆ เล็กลง ๆ จนเรียกว่ามันไม่ใช่เส้นทางสำหรับขี่รถแล้ว ประจวบกับขณะที่เรากำลังขี่รถเพื่อไต่ระดับขึ้นยอดเขานั้นก็เกิดฝนตกหนัก จึงทำให้การเดินทางในครั้งนี้สนุก และท้าทายพวกเราขึ้นไปอีก เพราะเรียกได้ว่าเราได้ขี่สวนร่องทางน้ำไหลเพื่อไต่ขึ้นยอดเขากันอย่างสนุกสนาน เหมือนกับปลาแซลม่อนที่ว่ายทวนน้ำยังไงยังงั้น และตลอดเส้นทางก็เต็มไปด้วยหินลอย และร่องน้ำลึก บวกกับตลอดเส้นทางมีหญ้าคาขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นจนไม่สามารถเห็นพื้นของเส้นทางได้เลย
ซึ่งนอกจากจะมองทางด้านหน้าได้ไม่ชัดเจนแล้ว เรายังจะต้องคอยหลบทั้งกิ่งไม้ และเถาวัลย์ที่ยื่นออกมาขวางทางเราอีกด้วย ซึ่งเราอยากจะบอกว่าเถาวัลย์นี่คือตัวอันตรายเลย เพราะเราได้เห็นเพื่อนร่วมทริปในครั้งนี้หลายต่อหลายคนโดนเถาวัลย์เกี่ยวโดยเฉพาะในส่วนของเบรคหน้าแล้วรถเกิดเสียอาการล้มลงไปหลายคันเลยทีเดียว เนื่องมาจากรถที่เราใช้เป็นรถเดิม ๆ ที่ไม่มีการ์ดแฮนด์ติดตั้งมาให้นั่นเอง และเมื่อเราขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของภูเขาได้สำเร็จเราก็พบกับวิวทิวทัศน์อันสวยงามที่เบื้องหน้าเต็มไปด้วยภูเขาอันเขียวขจีวางสลับเรียงรายกันแบบสุดลูกหูลูกตา ซึ่งถือเป็นภาพที่สวยงามสุด ๆ เลยทีเดียว
และเมื่อเราได้แวะพักเหนื่อยกันได้สักครู่ ต่อจากนี้ก็จะเป็นเส้นทางขับขี่ลงจากหุบเขาที่เต็มไปด้วยหินลอย ร่องน้ำลึก และป่าหญ้าคาที่สูงท่วมหัวเราเช่นเดิม และเมื่อบวกกับฝนที่พึ่งตกลงไปแน่นอนว่าเส้นทางนั้นมีความลื่นเป็นอย่างมากเราจึงใช้ความเร็วที่ไม่สูงมากเพื่อนำเราลงมาจากยอดเขาด้วยยางหนามเดิม ๆ ติดรถนั่นเอง และเราทุกคนก็ออกมาจากป่าได้สำเร็จในเวลาใกล้มืดเกือบ 6 โมงเย็นของวัน และเมื่อกลับถึงที่พักด้วยอาการเหนื่อยล้าเราทุกคนก็พร้อมแล้วสำหรับมื้อเย็นอันแสนอบอุ่น และเปี่ยมไปด้วยเรื่องเล่า บวกเสียงหัวเราะ ที่ทุกคนได้เจอกันมากับเส้นทางขับขี่ในวันแรก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอนพักผ่อนเอาแรงเพื่อออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นตั้งเช้าตรู่
วันที่ 2 ตะลุยบางกะม่า ชมพระอาทิตย์ยามเช้า
และสำหรับการเดินทางในวันที่ 2 ของเราได้ออกเดินทางกันตั้งแต่เวลาตี 5 ของเช้าวันใหม่เพื่อที่เราจะมุ่งหน้าไปยังบางกะม่าดินแดนแห่งหุบเขา ซึ่งการเดินทางของเราในวันนี้จะมีระยะทางประมาณ 40 กม. ซึ่งเราจะขึ้นไปจิบกาแฟยามเช้า พร้อมกับชมพระอาทิตย์ขึ้นกันบนยอดเขาของบางกะม่านั่นเอง ซึ่งการขับขี่ในช่วงเวลาเช้ามืดไปบนถนนที่มีแสงไฟส่องสว่างเพียงน้อยนิด หรือบางช่วงไม่มีเลยนั้น ก็ได้แต่อาศัยขี่ตามแสงไฟท้ายของรถคันด้านหน้าเราไปเท่านั้น
ซึ่งในช่วงแรกยังเป็นถนนดำที่พอให้เราได้ใช้ความเร็วกันอยู่บ้าง ก่อนที่จู่ ๆ จะมีเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่เพราะจากถนน On-Road ที่ราบเรียบก็ตัดเข้าสู่โหมดของทางวิบากในฉับพลัน เพราะด้วยความที่เส้นทางมืดมาก ๆ บวกกับตัวหมวกกันน็อคของเราเป็นชิลปรอทนั่นจึงทำให้แทบจะมองเส้นทางด้านหน้าไม่เห็นเลย เราจึงต้องถอดแว่นออกเพื่อช่วยให้สายตาของเรามองเห็นขึ้นมาหน่อย ซึ่งครั้งนี้ก็พร้อมปรับเข้าสู่โหมดของทางฝุ่นในช่วงเช้ากันอีกครั้ง เรียกได้ว่าเล่นเอาตื่นเต็มตาในทันทีจากที่กำลังง่วงนอนอยู่ ซึ่งตลอดทางเข้าไปจนถึงบริเวณจุดชมวิว และพักกินกาแฟนั้นจะเป็นถนนลูกรังทั้งหมด ซึ่งความยากจะอยู่ตรงที่ทางขึ้นไปยังจุดชมวิวของเราที่ทางนั้นค่อนข้างที่จะมีความลาดชันอยู่ไม่น้อย และมีร่องน้ำบวกทรายบวกหินลอยตลอดทางขึ้น เราจึงจำเป็นต้องทิ้งระยะห่าง และขับขี่ขึ้นไปยังจุดนี้แบบทีละคันเพื่อความปลอดภัยนั่นเอง
ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ท้าทายสายลุยมากเลยทีเดียว และเมื่อเราขับขี่ผ่านอุปสรรคขึ้นมาถึงจุดชมวิวได้สำเร็จ ความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันทีเพราะวิวของภูเขาที่เขียวขจีตั้งอยู่ตรงหน้า และพระอาทิตย์ที่กำลังสาดแสงอ่อน ๆ ในยามเช้า ทำให้เรารีบมุ่งหน้าไปหากาแฟเพื่อมานั่งดื่มด่ำไปกับบรรยากาศท่ามกลางหุบเขาของบางกะม่าแห่งนี้ในทันที และก่อนที่เราจะจากลาธรรมชาติของบางกะม่ากลับสู่ที่พักเพื่อเดินทางกลับ ทุกคนก็ไม่พลาดที่จะถ่ายภาพความประทับใจในครั้งนี้ไว้ร่วมกัน
Yamaha WR155R เดิม ๆ ลุยไปได้ทุกที่จริง ๆ
และสำหรับการเดินทางในครั้งนี้มันทำให้เราได้รู้ว่าแค่เพียงมีรถอย่าง Yamaha WR155R เดิมสักคันคุณก็สามารถสนุกไปกับการเดินทางได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะบนเส้นทาง On-Road หรือ Off-Road แบบหนัก ๆ ชนิดที่ว่าขี่ตัดผ่านป่าขึ้นภูเขาข้ามจังหวัดได้แบบสบาย ๆ เนื่องมาจากตัวรถมีขนาดเล็กน้ำหนักเบา ทำให้ง่ายต่อการควบคุม ถึงแม้จะล้มลงไปคุณก็สามารถยกรถกลับขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียวแบบสบาย ๆ
แถมระบบเบรก ช่วงล่างรวมไปจนถึงตัวยางที่ให้มาก็เรียกได้ว่าเหลือ ๆ และเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่หากคุณอยากขี่มันให้สนุกกว่าเดิมเราขอแนะนำให้ทดสเตอร์หลังเพิ่มไปอีกซัก 2 ฟันรับรองงานนี้บุกป่ากระจาย เพราะเราคิดว่าแรงต้นของมันยังน้อยไปสำหรับการปีนป่ายในเส้นทางที่ยากลำบากจริง ๆ และสุดท้ายนี้เจ้า Yamaha WR155R มีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ ราคา 105,000 บาทเท่านั้น และเชื่อเหอะใครที่กำลังมองหารถแนวนี้ไว้ใช้งานสัก 1 คัน เจ้า Yamaha WR155R คันนี้คุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างแน่นอน เพราะเราพิสูจน์มาแล้ว
อ่านเพิ่มเติม : 2020 Yamaha WR155R ตัวลุยสายฝุ่น
อ่านเพิ่มเติม : 4 มอเตอร์ไซค์วิบาก ที่เหมาะกับสภาพถนนในกรุงเทพฯ
อ่านเพิ่มเติม : Stark VARG รถวิบากพลังไฟฟ้าทางเลือกใหม่