[AutoFun] ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (Rain-sensor) ทำให้หน้าที่ในการตรวจจับปริมาณน้ำฝน โดยใช้ระบบเซ็นเซอร์ในการตรวจจับและเปิดระบบการทำงานของระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ โดยความเร็วของการปรับที่ปัดน้ำฝนจะขึ้นกับปริมาณของฝนที่ตกในขณะนั้น อุปกรณ์นี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่มีมองเห็นทางขณะขับขี่ในขณะที่ฝนตก ซึ่งช่วยให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
ในปัจจุบันระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบ Optical Sensor (ออปติคอลเซ็นเซอร์) และแบบ Capacitive Sensor (คาปาซิทีฟเซ็นเซอร์)
หลักการทำงาน
ออปติคอลเซ็นเซอร์จะติดตั้งไว้ที่กระจกหน้าใกล้กับกระจกมองหลัง โดยออปติคอลเซ็นเซอร์จะทำงานตามหลักการหักเหของแสง โดยจะมีไดโอดเปล่งแสงใน Optical Sensor ซึ่งจะทำหน้าที่ยิงลำแสงกลับไปยังชุดรับแสง หากกระจกด้านหน้าแห้ง แสงก็จะกระทบไปทั้งหมด แต่หากมีฝนตกกระทบเข้ากับพื้นที่รับแสงของกระจกด้านหน้า ก็จะส่งผลไปยังระบบปัดน้ำฝนเพื่อให้เริ่มทำงาน เนื่องจากเมื่อฝนตกที่จะกระจกหน้ารถจะมีแสงส่วนหนึ่งที่เกิดการหักเห หากฝนตกน้อยการหักเหแสงก็จะน้อย ก็จะสั่งให้ก้านปัดน้ำฝนทำงานช้าลง แต่หากฝนตกหนักมาก การหักเหของแสงมาก ทำให้ไม่สามารถสะท้อนกลับส่วนควบคุมได้ ระบบปัดน้ำฝนก็จะสั่งการให้ก้านปัดน้ำฝนทำงานเร็วขึ้น
อีกแบบคือคาปาซิทีฟเซ็นเซอร์ เป็นการออกแบบโดยใช้หลักความแตกต่างของค่าคงที่ไดอิเล็กทริกของน้ำและแก้ว ซึ่งค่าคงที่ไดอิเล็กทริกคือสมบัติทางไฟฟ้าที่บ่งบอกความมีขั้วของวัตถุ โดยน้ำมีค่าคงที่ไดเล็กทริกที่ 80 ขณะที่แก้วเป็นฉนวนมีค่าไดอิเล็กทริกที่ 2 คาปาซิทีฟเซ็นเซอร์เป็นเซ็นเซอร์ชนดเก็บประจุ มีโครงสร้างทั้งภายนอกภายใน โดยจะวางแผ่นโลหะแบบ Finger-shaped ที่กระจกหน้าทั้งภายนอกและภายใน โดยทำงานคล้ายกับแบบเหนี่ยวนำในขดลวด เนื่องจากการเคลื่อนที่ของวัตถุเข้ามาใกล้สนามไฟฟ้าของคาปาซิทิฟเซ็นเซอร์ ดังนั้นจึงสามารถตรวจจับวัตถุได้ เมื่อกระจกหน้ารถอยู่ในสภาพแห้งจะมีก็จะไม่เกิดการเหนี่ยวนำทำให้เซ็นเซอร์ไม่ทำงาน แต่หากกระจกหน้ารถเปียกค่าคงที่ไดอิเล็กทริกของกระจกหน้ารถเปลี่ยนจะทำให้ระบบเซ็นเซอร์ทำงาน เนื่องจากเซ็นเซอร์แบบนี้ติดอยู่บนหน้ารถใกล้กับพื้นผิวด้านล่างของกระจกหน้ารถจึงทำให้ตรวจจับได้ค่อนข้างเร็ว แต่ก็มีข้อเสียเช่นกันคือการติดตั้งคาปาซิทิฟเซ็นเซอร์บนพื้นผิวด้านนอกของกระจกหน้ารถอาจทำให้สารเคลือบกระจกหน้ารถเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร