ผลสำรวจระบุ Volkswagen (โฟล์คสวาเกน) และ Volvo (วอลโว่) นำโด่งในแผนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและมีแนวโน้มว่าจะบรรลุเป้าหมายได้ก่อนใครเพื่อน ขณะที่ Toyota (โตโยต้า) รั้งท้าย
Transport and Environment หรือ T&E หน่วยงานรณรงค์ด้านคมนาคมและสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป (อียู) ทำการสำรวจและประเมินแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์พลังงานทางเลือกของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายและมีการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับกฎระเบียบของอียูหรือไม่ในอนาคต
การสำรวจครั้งนี้มุ่งพิจารณาที่แผนงานของ 10 บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ควบคู่กับการคาดการณ์ยอดขายรถยนต์โดยบริษัทวิจัยตลาด IHS Markit รวมถึงดูที่เป้าหมายการขายรถยนต์พลังงานทางเลือกในอนาคต บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในการสำรวจครั้งนี้ มีทั้ง Daimler, Ford, BMW, Jaguar Land Rover, Volkswagen, Volvo, Hyundai, Stellantis, และ Toyota
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
ค่ายรถยุโรปมีความพร้อมมากที่สุด
Volkswagen และ Volvo ได้รับการยกย่องว่ามีแผนกลยุทธ์ที่ “ดุดันและเชื่อถือได้” ซึ่งจะทำให้มีการเปลี่ยนผ่านจากรถเครื่องยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่นและเป็นไปตามเป้าหมาย
ก่อนหน้านี้ Volkswagen กำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้สัดส่วนถึง 55% ภายในปี 2030 ขณะที่ Volvo ทะเยอทะยานยิ่งกว่านั้นเพราะวางเป้าหมายการขายรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นให้ได้สัดส่วน 100% ภายในช่วงเวลาเดียวกัน
ด้าน Ford มีแผนการอันยิ่งใหญ่เช่นกันด้วยเป้าหมายนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น 100% ภายในปี 2030 อย่างไรก็ตาม T&E ระบุว่ากรอบเวลากำลังกระชั้นเข้ามาทุกที แต่ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากเมืองดีทรอยท์ยังไปไม่ถึงไหนและคาดว่าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้เพียง 13% เท่านั้นในปี 2025
ผลสำรวจของ T&E พบว่า Daimler, BMW, Stellantis, Jaguar Land Rover และ Toyota ติดอันดับรั้งท้าย ด้วยเป้าหมายยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ขณะเดียวกัน บริษัทรถยนต์ข้างต้นยังมีแผนการที่ขาดความทะเยอทะยาน ปราศจากกลยุทธ์ในเชิงอุตสาหกรรมการผลิต และยังพึ่งพาระบบขับเคลื่อนทางเลือกอื่น ๆ อย่างไฮบริดมากเกินไป
สำหรับ Toyota ผลสำรวจระบุว่าค่ายรถยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นไม่มีเป้าหมายในปี 2030 แต่มีแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพียง 10% ภายในปี 2025 โดยจะพึ่งพาระบบไฮบริดค่อนข้างมากหรือประมาณ 44% ของยอดขายทั้งหมดในยุโรปภายในปี 2030
T&E ระบุว่ายอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในยุโรปมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านคันในปี 2021 (ส่วนแบ่งตลาด 7.4%) ไปอยู่ที่ 3.3 ล้านคันในปี 2025 (ส่วนแบ่งตลาด 24.2%) และขยายตัวเป็น 6.7 ล้านคันในปี 2030 (ส่วนแบ่งตลาด 50.2%) ซึ่งจะแซงหน้ารถเครื่องยนต์สันดาปดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะแซงหน้ารถเครื่องยนต์สันดาป แต่ก็ยังต่ำกว่าเป้าหมาย Geen Deal ของสหภาพยุโรปที่กำหนดให้รถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนยอดขายมากกว่า 60% ในปี 2030 และรถยนต์ทุกรุ่นจะมีมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2050
จูเลีย โพลิสคาโนวา ผู้อำนวยการอาวุโสของ T&E กล่าวว่า “ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่ามีบริษัทรถยนต์ไม่กี่รายที่จริงจังกับแผนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น นโยบายภาครัฐไม่ควรปล่อยปะละเลย เป้าหมายต่าง ๆ จะต้องมีความเข้มงวดมากขึ้นเพื่อให้บริษัทรถยนต์ไม่เพียงลดการใช้เครื่องยนต์สันดาป แต่จะต้องมีกลยุทธ์ที่มุ่งสู่เป้าหมายได้ทันเวลา”
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });