Apple เดินหน้ายกระดับการช่วยเหลือชีวิตผู้คนบนท้องถนนด้วยการติดตั้งฟังก์ชั่น Crash Detection ในอุปกรณ์พกพาและสวมใส่รุ่นใหม่
งานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ได้รับความสนใจจากผู้คนในแวดวงไอทีทั่วโลก แต่สำหรับคอรถยนต์ เชื่อได้ว่าส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับฟังก์ชั่นใหม่ล่าสุดที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยชีวิตผู้คนเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
ฟังก์ชั่นตรวจจับอุบัติเหตุหรือ Crash Detection ถูกติดตั้งในสมาร์ทโฟน iPhone 14 รุ่นใหม่ล่าสุด รวมถึงสมาร์ทวอทช์ Apple Watch Series 8 ที่สามารถตรวจพบได้ว่าผู้สวมใส่เกิดอุบัติเหตุและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันที
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
มีกระบวนการทำงานอย่างไร
Apple ระบุว่าเซ็นเซอร์ตัววัดความเร่งหรือ accelerometer ในอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวนั้นสามารถตรวจจับแรงปะทะได้สูงสุด 256จี คนที่ไม่คุ้นเคยกับแรงเหวี่ยงกระทำต่อวัตถุตามแรงโน้มถ่วงหรือ G force อาจจะสงสัยว่าตัวเลข 256 นั้นมากหรือน้อยเพียงใด
หากเทียบให้เห็นภาพชัด ๆ ต้องเปิดกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดที่เคยบันทึกสถิติของแรงจีที่สูงที่สุดในโลกซึ่งเกิดขึ้นกับเคนนี แบร็ก นักแข่งรถอินดี้คาร์ที่เคยเกิดอุบัติเหตุในสนามแข่งที่ความเร็วระดับ 354 กม.ต่อชม. ซึ่งวัดแรงจีได้ที่ 214 หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือตัวเลข 256 นั้นสูงเกินพอ
เซ็นเซอร์ไจโรสโคปแบบ 3 แกนยังสามารถตรวจจับ “การเปลี่ยนแปลงของทิศทางตัวรถอย่างกะทันหัน” ขณะที่เซ็นเซอร์บารอมิเตอร์ยังสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของแรงดันอากาศอย่างเฉียบพลันที่เกิดจากการระเบิดของถุงลมนิรภัยในห้องโดยสารรถยนต์
Apple ยังระบุด้วยว่าไมโครโฟนของอุปกรณ์รุ่นใหม่มีความสามารถตรวจจับ “ระดับเสียงที่สูงยิ่งยวดอย่างกะทันหัน” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อรถยนต์ชนปะทะอย่างรุนแรง ส่วนจีพีเอสก็ช่วยเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของความเร็วอย่างฉับพลันด้วย
หากโทรศัพท์หรือนาฬิการุ่นใหม่ของ Apple อยู่ในย่านที่มีสัญญาณหรือเครือข่าย WiFi ก็จะโทรออกไปยังหน่วยงานฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ พร้อมกับระบุตำแหน่งของตัวรถที่เกิดอุบัติเหตุ ก่อนจะแจ้งด้วยว่าเบอร์โทรศัพท์ของผู้ประสบเหตุและญาติ (ที่บันทึกไว้ล่วงหน้า) เป็นเบอร์อะไร
Apple เผยว่าทีมวิศวกรได้ประมวลผลข้อมูลการขับขี่จริงนับล้านชั่วโมงและวิเคราะห์การเกิดอุบัติเหตุทั่วโลกในการพัฒนาฟังก์ชั่นนี้ พร้อมกับมีการทดสอบการชนทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และการถูกชนท้าย รวมถึงการพลิกคว่ำเพื่อทดสอบการตรวจจับอุบัติเหตุให้มีความแม่นยำสูงสุด
ไม่เพียงเท่านั้น Apple ยังแนะนำเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยให้ iPhone 14 สามารถส่งข้อความ SOS ผ่านดาวเทียมได้หากอยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ
ทั้งหมดทั้งปวง ฟังดูแล้วถือว่าเป็นฟังก์ชั่นที่มีไว้ก็อุ่นใจได้มาก แต่ข่าวร้ายก็คือ Apple จะนำเสนอให้ผู้ใช้ในอเมริกาเหนือเท่านั้นในเบื้องต้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });