ผู้บริหารค่ายยุโรปยอมรับต้องหั่นต้นทุน 40% ถึงจะสู้กับค่ายรถจีนได้

ผู้บริหารระดับสูงของ Renault เปิดเผยว่าค่ายรถยุโรปจะต้องปรับตัวขนานใหญ่ในการรับมือกับค่ายรถยนต์สัญชาติจีนที่มีราคาถูกกว่ามาก หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการปรับลดต้นทุน

เธียร์รี พีตัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Ranault เปิดเผยว่าการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกทำให้ต้องเฟ้นหากลยุทธ์ต่าง ๆ โดยวิธีการที่ดีที่สุดในการอยู่รอดคือการปรับลดต้นทุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์

ความเห็นของพีตันสอดคล้องกับลูกา เดอ มีโอ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Renault ที่ยืนยันว่าบริษัทฯ มีเป้าหมายลดต้นทุนลง 40% ตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป โดยจะเริ่มค่อย ๆ ลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีนี้

“ชัดเจนแล้วว่าเรากำลังแข่งขันในตลาดกันอย่างดุเดือด และการดำเนินงานที่รวดเร็วนั้นสำคัญมาก” เดอ มีโอ กล่าวเพิ่มเติม

สำนักข่าว Reuters รายงานว่าค่ายรถจีนอย่าง BYD และ SAIC เจ้าของแบรนด์ MG มีการลงทุนไปในทิศทางเดียวกันนั่นคือการใช้ค่าแรงที่ถูกและการสร้างซัพพลายเชนแบตเตอรี่ในประเทศ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก

ส่วนแบ่งตลาดรถอีวีของจีนในปี 2022 อยู่ที่ 9% เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ค่ายรถยุโรปไม่เพียงเผชิญกับคู่แข่งจากจีน แต่ยังมียักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งของโลกในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ซึ่งใช้กลยุทธ์การปรับลดราคาซึ่งทำให้มีการแข่งขันอย่างรุนแรง และทำให้ตลาดไม่แน่นอน

สงครามราคาส่งผลรุนแรง

คาร์ลอส ตาบาเรส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มยานยนต์ Stellantis กล่าวว่าการแข่งขันกับค่ายรถจีนนั้น “รุนแรงอย่างยิ่งยวด”

“พวกเขา (ค่ายรถจีน) มีความได้เปรียบด้านต้นทุนเหนือกว่าเราถึง 25% แต่เราก็ต้องสู้” ตาบาเรส กล่าว พร้อมกับให้คำนิยามต่อค่ายรถจีนว่ากำลังรุกคืบเข้ามาในยุโรปอย่างไม่หยุดยั้ง

“เราจำเป็นต้องควบคุมต้นทุนของเราเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถสร้างผลกำไรได้ด้วยการจำหน่ายรถยนต์ในราคาที่เหมาะสมต่อลูกค้าคนชั้นกลางของเรา” ซีอีโอ Stellantis เผย “นั่นหมายความว่า เราจำเป็นต้องมีการปรับกลยุทธ์ในการขายรถยนต์อย่าง Citroën C3 ในราคาประมาณ 25,000 ยูโรโดยยังคงมีผลกำไร”

ในทางกลับกัน Mercedes-Benz ยืนยันว่าจะยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามราคา